MMM เปิดจอง “พีโอ” วันแรกคึกคัก ปักหมุดเทรด 7 พ.ย.นี้ ระดมทุน 353 ล้าน เสริมแกร่งฐานทุน

MMM เปิดจองซื้อหุ้นพีโอวันแรกคึกคัก สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุน เดินหน้าระดมทุน 353 ล้านบาท เสริมแกร่งฐานทุน ปักหมุดเข้าซื้อขายตลาดอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ พร้อมลุยขยายผลงาน-เครือข่ายนายหน้า ดันธุรกิจเติบโตต่อเนื่องในตลาดอสังหาอสังหาริมทรัพย์ไทย


นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ว่า วันนี้ (28 ต.ค.68) เป็นวันแรกที่บริษัทเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (PO) จำนวน 64.20 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขาย 5.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ประมาณ 13.41 เท่า และจะเปิดขายถึงวันที่ 30 ต.ค.68 ก่อนเข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดเอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 7 พ.ย.68

โดย MMM ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยทุกประเภทให้กับเจ้าของโครงการหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและการขายผ่านเครือข่ายนายหน้าอิสระ และการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย โดยนำอสังหาริมทรัพย์สภาพดีมาปรับปรุงเพิ่มเติมและจำหน่ายผ่านเครือข่ายนายหน้าอิสระ ประกอบด้วย ซึ่งจำแนกได้เป็น 3 หน่วย คือ BU1 ธุรกิจที่ปรึกษางานขายโครงการ โดยเป็นตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวให้กับเจ้าของโครงการ, BU2 ธุรกิจบริหารงานขายโครงการ เป็นตัวแทนขายและรับประกันการขายแต่เพียงผู้เดียว และให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ (Hybrid) และ BU3 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

สำหรับโมเดลบริษัทเป็นรูปแบบ Pre AMC สร้างอัตรากำไรที่สูงจากการทำงานร่วมกับเครือข่ายนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การขายทำได้รวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนก่อสร้างเอง จึงไม่มีภาระดอกเบี้ยและไม่ต้องขอสินเชื่อจากธนาคาร ช่วยลดความเสี่ยงของธุรกิจและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งบริษัททำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเจ้าของโครงการและลูกค้า จึงไม่มีภาระต้นทุนหรือการบริการหลังการขาย และสามารถเริ่มทำตลาดโครงการได้ทันที ส่งผลให้รอบหมุนเวียนของสินค้ารวดเร็ว ใช้เงินลงทุนต่ำ และมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีหนี้สิน รวมถึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่โดดเด่นต่อเนื่อง

นายสุริยา วงศ์สิทธิชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนาธุรกิจ MMM เปิดเผยว่า บริษัทมองว่าธุรกิจยังมีศักยภาพเติบโตสูง เนื่องจากสามารถเข้าถึงทรัพย์ทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ได้มากขึ้นหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ประกอบกับมีฐานข้อมูลลูกค้าและทำเลที่ชัดเจน ทำให้สามารถคัดเลือกทรัพย์ที่มีโอกาสจำหน่ายได้จริง โดยปฏิเสธทรัพย์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ประมาณ 60-70% นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่มีรายได้สูง เพื่อยกระดับมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ

พร้อมกันนี้ แม้ตลาดโดยรวมจะมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง แต่จำนวนเคสที่เข้ามาของบริษัทยังเติบโตมากกว่า 100% ต่อปี ส่งผลให้อัตราการเติบโตสุทธิยังอยู่ในระดับที่ดี ทั้งนี้ บริษัทมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้ตัวแทนขายอย่างรวดเร็วภายใน 6 ชั่วโมงหลังโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งช่วยดึงดูดและรักษาเครือข่ายตัวแทนที่เข้มแข็ง ส่งผลให้บริษัทมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ขณะที่การระดมทุนผ่านตลาดทุนครั้งนี้ถือเป็นช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI) ที่เป็นก้าวแรกสู่การขยายศักยภาพในการเติบโต และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

อนึ่งผลการดำเนินงาน งวด 6 เดือนแรกปี 2568 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 339.41 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 63.30 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 18.58% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการทำกำไรสุทธิได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปี 65-67 ที่บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 168.08 ล้านบาท 255.66 ล้านบาท และ 357.88 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 35.09 ล้านบาท 47.74 ล้านบาท และ 80.76 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 20.62 ร้อยละ 18.49 และ ร้อยละ 22.39 และมีความสามารถ ในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นกลุ่ม LiVEx ได้ถึง 6 ไตรมาสติดต่อกันนับตั้งเแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ LiVEx เมื่อเดือนธ.ค. 66 จนถึงงวดปัจจุบัน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวเป็นการตอกย้ำ ถึงศักยภาพของฐานะการเงินที่แข็งแกร่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

Back to top button