เปิด 14 หุ้น mai ทำเม่าขวัญกระเจิง! 7 เดือนกระเป๋าฉีกเกิน 30%

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ mai ในรอบ 7  เดือน โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-31 ก.ค.60 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนลดลงเกิน 30% เป็นหลัก โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 14 ตัว


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ mai ในรอบ 7  เดือน โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.59-31 ก.ค.60 โดยการสำรวจครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนลดลงเกิน 30% เป็นหลัก โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 14 ตัว ด้วยกันคือ EFORL, TSF, KOOL, DCORP, VTE, DNA, CHOW, ABICO, AUCT, TACC, AU, TVD, SALEE และ UREKA อย่างไรก็ตามการนำเสนอหุ้นที่ปรับตัวลงแรงดังกล่าวไม่สามารถนำเสนอข้อมูลหุ้นได้ครบทุกตัว ดังนั้นครั้งนี้จะขอนำเสนอหุ้นเพียง 5 อันดับแรกของตารางมาประกอบการลงทุนเท่านั้น

 

อันดับ 1 บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง  62.96% มาอยู่ที่ระดับ0.10 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 0.17 บาท จากระดับ 0.27 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 7 เดือนที่ผ่าน เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรก่อนหน้าทยอยขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหุ้นไม่มีปัจจัยมาสนับสนุนอีกทั้งผลประกอบการไม่สดใสยิ่งทำให้นักลงทุนขายหุ้นออกมาไม่หยุดช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา

อันดับ 2 บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSF ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา คำแนะนำ และวางแผนด้านการประชาสัมพันธ์รวมทั้งงานด้านสื่อโฆษณาทุกชนิด ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 58.97% มาอยู่ที่ระดับ 0.16 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 0.23 บาท จากระดับ 0.39 บาท (30 ธ.ค. 59) โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 7 เดือนที่ผ่าน เนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกและง่ายต่อการดันราคา ดังนั้นเวลาหุ้นขึ้นแรงก็ย่อมมีแรงเทขายออกมาหนักเช่นกัน

อย่างไรก็ตามหุ้นรายนี้ไม่มีพื้นฐานรองรับทำให้การปรับตัวแรงทุกครั้ง ทำให้ช่วงที่ผ่านมาหุ้นโดนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 : Cash Balance

อันดับ 3 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ดำเนินธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์พัดลมไอเย็น พัดลมไอน้ำ และพัดลมอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า “MASTERKOOL” และ “Cooltop” นอกจากนี้บริษัทยังให้บริการเช่าใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมถึงออกแบบและติดตั้งระบบระบายความร้อน และระบบโอโซน

ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง  54.18% มาอยู่ที่ระดับ 2.52 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 2.98 บาท จากระดับ 5.50 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตลอด 7 เดือนที่ผ่าน  เนื่องจากนักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรผลประกอบการและแผนงานที่โดดเด่น แต่เมื่อบริษัทประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ขาดทุนสุทธิ 17.45 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 16.6 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนผิดหวังและเทขายหุ้นอย่างหนัก และหุ้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วงดังกล่าว

อันดับ 4 บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DCORP  บริษัทรับจัดหา ผลิต และ/หรือร่วมผลิตรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งให้บริการจัดการพลังงาน (Energy Saving Service)

ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 46.52% มาอยู่ที่ระดับ 4.92 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 4.28 บาท จากระดับ 9.20 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากก่อนหน้านี้หุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังเรื่องแผนงานที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความคาดหวังเรื่องผลการดำเนินงานปี 59 จะกลับมาทำกำไร

แต่พอบริษัทประกาศออกมาผลการดำเนินงานปี 59 ช่วงเดือนมีนาคม 60 พบว่าธุรกิจยังไม่สดใส และแผนงานที่เคยประกาศยังไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 พลิกขาดทุน 17.75 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร  2.08 ล้านบาท  จึงเป็นสาเหตุให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาในช่วงดังกล่าว

อันดับ 5 บริษัท วินเทจ วิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ VTE ประกอบธุรกิจ 1.ธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร งานระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและระบบสื่อสาร งานระบบประปาและสุขาภิบาล งานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ 2. ธุรกิจเหมืองถ่านหิน3. ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง 43.99% มาอยู่ที่ระดับ 1.77 บาท (31 ก.ค.60) ลบ 1.39 บาท จากระดับ 3.16 บาท (30 ธ.ค. 59) ราคาหุ้นปรับตัวแรงช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรแผนธุรกิจเทขายหุ้นออกมา หลังบริษัทปรับตัวลดลงหลังบริษัทประกาศว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน โดยออกหุ้นใหม่ 332.23 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท โดยจะจัดสรร 249.17 ล้านหุ้น ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น และจัดสรร 83.06 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP)

อีกทั้งบริษัทประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/60 พลิกขาดทุน 47.81 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 4.28 ล้านบาท ยิ่งทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นต่อเนื่อง และแม้ว่าบริษัทจะมีแผนงานธุรกิจใหม่ๆออกมากระตุ้นราคารอบใหม่แต่หุ้นยังไม่ฟื้นตัวได้ในช่วง  7 เดือนที่ผ่านมา

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button