เวทีทองคำลาว 2025 เปิดตัวครั้งแรก! พร้อมแอป “LBB PLUS” พลิกโฉมเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม

ครั้งแรกของลาว “เทศกาลทองคำลาว 2025” จุดประกายเศรษฐกิจ-วัฒนธรรมสู่เวทีโลก พร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชัน “LBB PLUS” มุ่งสู่การให้บริการธนาคารที่เข้าถึงประชาชนทั่วประเทศ รองรับการเปิดบัญชี ฝาก ถอน โอน และซื้อขายทองคำแบบเรียลไทม์ผ่านมือถือ 24 ชม. พร้อมวางแผนเชื่อมตลาดโลก ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจลาวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีผู้นำจาก SBMA, Brinks และ Hua Seng Heng เผยยุทธศาสตร์เชื่อมโยงภูมิภาคสู่ศูนย์กลางโลหะมีค่าของโลก


ดร.จันทอน สิทธิชัย ประธานคณะกรรมการ ธนาคารทองคำลาว หรือ Lao Bullion Bank (LBB) เปิดเผยว่าการจัดงาน “เทศกาลทองคำลาว 2025” โดยเทศกาลนี้นับเป็นงานประจำปีระดับชาติครั้งแรกของประเทศลาว ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างวันที่ 5 – 7 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติแห่งลาว นครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของทองคำต่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวลาวในมิติที่หลากหลาย

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับวาระประวัติศาสตร์อันสำคัญของประเทศลาว ได้แก่ การเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี การก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิวัติลาว, ครบรอบ 50 ปี การสถาปนาประเทศ และครบรอบ 105 ปี วันคล้ายวันเกิดของท่านไกสอน พมวิหาร อดีตประธานาธิบดีผู้วางรากฐานสำคัญของประเทศ

ดร.จันทอน กล่าวอีกว่า เทศกาลทองคำลาว 2025 ไม่เพียงเป็นเวทีเฉลิมฉลอง แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้สนใจในอุตสาหกรรมทองคำ ได้มาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แสดงนวัตกรรม และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

โดยภายในงาน ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสกับกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการสัมมนาระดับสูงจากผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำและการลงทุนจากนานาประเทศ การเปิดตัวแอปพลิเคชัน LBB PLUS ที่รองรับการซื้อขายทองคำแบบเรียลไทม์ พร้อมรับผลตอบแทนดอกเบี้ย2% ต่อปี ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของการพลิกโฉมอุตสาหกรรมทองคำสู่โลกดิจิทัลในระดับสากล

พร้อมกันนี้อีกหนึ่งไฮไลต์ของเทศกาลคือ นิทรรศการทองคำและผ้าไหมลาว ที่สะท้อนถึงความวิจิตรงดงามของวัฒนธรรมท้องถิ่น และ แฟชั่นโชว์ทองคำและผ้าไหม ซึ่งจะนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ร่วมสมัยของดีไซเนอร์และผู้ประกอบการชาวลาว เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมทองคำควบคู่กับมรดกทางวัฒนธรรม

สำหรับเทศกาลทองคำลาว 2025 คาดว่าจะดึงดูดผู้เข้าร่วมกว่า 30,000 คน ทั้งในและต่างประเทศ งานนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งเสริมอุตสาหกรรมทองคำลาวสู่มาตรฐานสากล และเป็นโอกาสทองสำหรับทุกคนที่สนใจลงทุน เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

“เทศกาลทองคำลาว 2025 นี้จะกลายเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมทองคำของลาวให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสร้างแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจและสังคมของประเทศก้าวไปสู่ระดับสากลงาน อีกทั้งไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจของชาติ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้แก่ภาคธุรกิจ การลงทุน และวัฒนธรรมของลาว บนเวทีโลกอย่างมีศักยภาพและมั่นคง” ดร.จันทอน กล่าว

ดร.จันทอน กล่าวต่อว่า ในฐานะผู้บริหารธนาคารแห่งลาว รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสกล่าวเปิดงานและแถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน “LBB PLUS” ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่ธนาคารของเราพัฒนาเพื่อรองรับการให้บริการที่ทันสมัยและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ในช่วงเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารของเราได้ดำเนินกิจกรรมและพัฒนาบริการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการค้าขาย การฝากเงิน และการลงทุนของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตและขยายตัวของธุรกิจในหลายภาคส่วนอย่างมีนัยสำคัญ

ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้บริการธนาคารเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง ธนาคารจึงได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “LBB PLUS” ที่จะช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถเปิดบัญชี ฝาก ถอน โอนเงิน และซื้อขายหลักทรัพย์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ผ่านระบบมือถือ ที่รองรับการทำธุรกรรมตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาต่อยอดสู่การเชื่อมต่อกับตลาดสากล เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าของเราสามารถเข้าถึงการลงทุนและการซื้อขายในตลาดโลกได้

ในส่วนของเศรษฐกิจประเทศลาว เรามีทรัพยากรธรรมชาติและอุตสาหกรรมที่สำคัญ รวมทั้งแหล่งเหมืองแร่หลายแห่งที่เป็นฐานในการผลิตและส่งออกสินค้าหลัก อย่างไรก็ตาม ธนาคารของเราตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้ทันสมัย เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ดังนั้น “LBB PLUS” จึงเป็นก้าวแรกของเราในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการบริการทางการเงิน พร้อมแผนงานพัฒนาในอนาคตที่จะนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานการบริการให้ดียิ่งขึ้น

ดร.จันทอน สิทธิชัย ประธานคณะกรรมการ ธนาคารทองคำลาว หรือ Lao Bullion Bank (LBB)

ดร.จันทอน กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลเบื้องต้นจากการดำเนินงานในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา พบว่ายอดผู้ใช้งานระบบอยู่ที่ประมาณ 4,000 ราย มูลค่าการซื้อขายทองคำอยู่ที่ประมาณ 10 ตัน โดยคาดการณ์ว่ายอดผู้ใช้งานจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 รายในปีถัดไป ขณะเดียวกัน ระบบได้มีการรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านหมายเลข โดยมีเป้าหมายที่จะขยายฐานผู้ใช้ให้ครอบคลุมถึง 100,000 รายในอนาคต

ทั้งนี้ ในปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวลาวประมาณ 98% และชาวต่างชาติ 2% สะท้อนศักยภาพและโอกาสทางตลาดภายในประเทศที่ยังเปิดกว้างสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ราคาทองคำในตลาดได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 32% ในระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้เกิดความสนใจในการลงทุนและการซื้อขายทองคำมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้ประชาชน นักลงทุนรายย่อยได้เข้าถึงระบบการซื้อขายและลงทุนที่ปลอดภัยมากขึ้น ภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงและสภาพคล่องอย่างรัดกุม โดยมีพันธมิตรในภูมิภาค เช่น ประเทศเมียนมา ร่วมขับเคลื่อนโครงการอย่างแข็งขัน

ด้านนายอัลเบิร์ต  เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมาคมตลาดโลหะมีค่าของสิงคโปร์ (Singapore Bullion Market Association – SBMA) เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลสิงคโปร์เมื่อประมาณ 15 ปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนบทบาทของประเทศในฐานะศูนย์กลางด้านตลาดโลหะมีค่าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งในบทบาทดังกล่าวมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว

สำหรับสมาคมตลาดโลหะมีค่าของสิงคโปร์ มีพันธกิจหลักในการพัฒนาและเสริมสร้างสถานะของประเทศให้เป็นศูนย์กลางตลาดโลหะมีค่าระดับโลก ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ อีกทั้งยังสนับสนุนสมาชิกของสมาคมในการค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และขยายเครือข่ายความร่วมมือในระดับสากล

นอกจากนี้ สมาคมยังมีบทบาทในการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความประสงค์จะเข้ามาดำเนินธุรกิจในตลาดเอเชียและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแม้จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีลักษณะซับซ้อนเนื่องจากประกอบด้วย 10 ประเทศที่มีความหลากหลายด้านระบบเศรษฐกิจและกฎระเบียบ นักลงทุนจึงมองหาศูนย์กลางที่มีความมั่นคงและเชื่อถือได้ ซึ่งสิงคโปร์สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปัจจุบัน สมาคมมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 11 ราย ประกอบด้วยองค์กรจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญ เช่น สภาการตลาดภายในประเทศ เป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคม สมาคมยังมีภารกิจเพิ่มเติมในการสนับสนุนให้สมาชิกสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมโลหะมีค่าในระดับโลก ตลอดจนร่วมดำเนินงานด้านนโยบายสาธารณะในประเทศต่าง ๆ อาทิ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งยังมุ่งส่งเสริมการใช้มาตรฐานร่วมกันในระดับภูมิภาค เพื่อยกระดับความโปร่งใสและประสิทธิภาพของตลาด

ตัวอย่างของความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ กรณีบริษัท LBB ซึ่งได้เข้ามาขอคำปรึกษาจากสมาคมเมื่อสองปีก่อนเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินธุรกิจ และได้รับการสนับสนุนจากสมาคมอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านคำแนะนำ การแบ่งปันประสบการณ์ และการจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งนับเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างภาคี

สมาคมยังให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ โดยเฉพาะการจัดประชุมประจำปี ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทั่วโลกได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ โดยการประชุมในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมกว่า 600 คน ซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการค้าระดับนานาชาติที่ได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจทั่วโลก ทั้งนี้ การประชุมประจำปีครั้งต่อไปมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14–16 มิถุนายน ณ Sands Expo ประเทศสิงคโปร์ โดยเปิดให้ผู้สนใจจากทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วม

นายอัลเบิร์ต กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางในอนาคต สมาคมมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางการค้าระดับโลกด้านโลหะมีค่าในภูมิภาคเอเชีย แม้ว่าสิงคโปร์จะไม่มีแหล่งเหมืองทองคำหรือฐานลูกค้าขนาดใหญ่ภายในประเทศ แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อต่อการเติบโต เช่น ระบบเศรษฐกิจที่มั่นคง โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่โปร่งใส จึงทำให้ประเทศมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์ประกอบบางประการที่ต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

โดยตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สมาคมได้ดำเนินการผลักดันเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยประสบความสำเร็จในการสร้างความเข้าใจกับภาครัฐเกี่ยวกับผลกระทบของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (GST) สำหรับการซื้อขายทองคำ ซึ่งหากไม่มีการยกเว้นภาษีดังกล่าว จะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาด ต่อมาในปี พ.ศ. 2557 สมาคมได้มีบทบาทในการนำโรงกลั่นโลหะเข้ามาตั้งในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งแม้ประเทศจะไม่ใช่ผู้ผลิตทองคำโดยตรง แต่การมีโรงกลั่นเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปัจจุบันโรงกลั่นดังกล่าวมีกำลังการผลิตมากกว่า 400 หน่วย

ในระยะยาว สมาคมตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบตลาดซื้อขายให้มีความทันสมัยเทียบเท่าตลาดในกรุงลอนดอน รวมถึงส่งเสริมการจัดตั้งบริการดูแลรักษาทรัพย์สิน (custodian services) สำหรับธนาคารกลาง ซึ่งในปัจจุบันยังมีให้บริการเพียงที่ลอนดอนเท่านั้น โดยมีเป้าหมายให้สิงคโปร์สามารถก้าวขึ้นเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางทางเลือกที่มีความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระยะยาวจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายภาคส่วน

ทั้งนี้ สมาคมได้กำหนดกลยุทธ์หลักไว้ 5 เสาหลัก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนสิงคโปร์สู่การเป็นศูนย์กลางตลาดโลหะมีค่าระดับโลกในภูมิภาคเอเชีย โดยรายละเอียดของกลยุทธ์ดังกล่าวจะมีการนำเสนออย่างเป็นทางการในโอกาสต่อไป

“สมาคมตลาดโลหะมีค่าของสิงคโปร์มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นจุดเริ่มต้น หรือฐานปฏิบัติการ สำหรับสมาชิก ผู้มีส่วนร่วม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ตลาดโลหะมีค่าระดับสากล อีกทั้งยังมีเป้าหมายให้สิงคโปร์ทำหน้าที่เป็นประตูสู่ตลาดอาเซียนสำหรับผู้ประกอบการระดับโลก โดยเชื่อมั่นในบทบาทของการเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงตลาด และพร้อมขับเคลื่อนการสร้างอนาคตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายอัลเบิร์ต  กล่าว

ขณะที่นายธนรัตน์ ปาซะวงศ์ ประธานเจ้าที่บริหาร Hua Seng Heng Group ได้กล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ ผู้กำกับดูแล รวมถึงสมาชิกชุมชนระดับชาติที่มาร่วมงาน ว่าในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจซื้อขายในประเทศไทย และเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับชุมชนที่กำลังเติบโต บริษัทมีเป้าหมายในการขยายตลาดกลุ่มนักเรียน (Student Market) ในภูมิภาคเอเชีย

สำหรับบริษัทเริ่มต้นจากธุรกิจทองคำ โดยมีการดำเนินงานเกี่ยวกับทองรูปพรรณ ก่อนขยายเข้าสู่ตลาดทองคำแท่ง การซื้อขายออนไลน์ การนำเข้า-ส่งออก และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจร รวมทั้งการซื้อขายผลิตภัณฑ์ในตลาดแลกเปลี่ยน เช่น กองทุน ETF และกองทุนทองคำ รวมถึงการลงทุนในโรงกลั่นทองคำและโรงงานผลิตเครื่องประดับ

ทั้งนี้ เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับธุรกิจ โดยทำให้บริษัทสามารถให้บริการลูกค้าได้พร้อมกันในระดับหลักแสนราย ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของธุรกิจทองคำในประเทศไทย

นายธนรัตน์ระบุว่า บริษัทมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในทุกมิติ ทั้งด้านการเงิน ห่วงโซ่อุปทาน และระบบนิเวศธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

ส่วนนายแกรี่ ฟรีดแมน  ผู้จัดการประจำภูมิภาคย่อยสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของบริษัท Brinks กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ในการดูแลประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้ รวมถึงประเทศเวียดนาม กัมพูชา เมียนมา และการทำงานร่วมกับทีมในกรุงเทพมหานคร รวมถึงทีมในจีนและลอสแองเจลิส โดยให้ภาพรวมความสามารถด้านการดำเนินงานของ Brinks อย่างละเอียดว่า

บริษัท Brinks ให้บริการลูกค้าในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมกลุ่มสถาบันการเงิน ร้านค้าปลีก หน่วยงานภาครัฐ ธนาคารกลาง เหมืองทอง โรงกษาปณ์ ร้านเครื่องประดับ และผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์อื่น ๆ มีสำนักงานและดำเนินงานใน 67 ประเทศ พร้อมศูนย์ปฏิบัติการกว่า 1,300 แห่ง รายได้ประจำปีประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีรถขนส่งทรัพย์สินปลอดภัยจำนวน 16,400 คันทั่วโลก และพนักงานกว่า 72,000 คน

ทั้งนี้ สินค้าและตลาดหลักที่ Brinks ดำเนินงาน ได้แก่ โลจิสติกส์ การประกันภัย และความปลอดภัยในการขนส่งทองคำ ธุรกิจเหมืองทอง เงิน เพชร ธนบัตรทั้งของธนาคารพาณิชย์และธนาคารกลาง รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ พาลาเดียม สินค้าลักชัวรี่ และบัตรเครดิต

พร้อมกล่าวถึงจุดแข็งของ Brinks ที่ทำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งทรัพย์สินปลอดภัยทั้งทางอากาศ ทางทะเล และทางบก พร้อมบริการจัดการสินค้าคงคลัง ห้องนิรภัยในหลายประเทศทั่วโลก ศูนย์กระจายสินค้า และบริการโลจิสติกส์สำหรับงานแสดงสินค้าพิเศษ เช่น งานแสดงเพชรและเครื่องประดับ รวมถึงบริการพิธีการศุลกากร การนำเข้า-ส่งออก และการประกันภัยแบบรับผิดชอบเต็มจำนวน

แผนที่การดำเนินงานของ Brinks แสดงให้เห็นถึงประเทศที่บริษัทดำเนินงานโดยตรงใน 67 ประเทศ (ระบุด้วยสีน้ำเงิน) และอีก 74 ประเทศที่ทำงานร่วมกับผู้รับเหมาช่วง (ระบุด้วยสีเหลือง) ซึ่งสะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจที่ครอบคลุมและกว้างขวาง

อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Brinks มีสำนักงานในจีนและญี่ปุ่น โดยในภูมิภาคอาเซียน บริษัทมีการดำเนินงานในหลายประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา โดยในเมียนมายังใช้ผู้รับเหมาช่วง แต่มีแผนที่จะขยายการดำเนินงานโดยตรงในอนาคต รวมถึงอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม รวมทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

สำหรับลาว บริษัทดำเนินการเกี่ยวกับสินค้าคงค่า เช่น เพชรและเครื่องประดับ ธุรกิจธนบัตร การนำเข้า-ส่งออกธนบัตร ทองคำจากเหมือง และการค้าข้ามพรมแดนระหว่างลาวและไทย

Back to top button