“พิพัฒน์” เปิดทางเลือกใหม่ ชงเมกะโปรเจกต์ “ดิสนีย์แลนด์-สนามกีฬายักษ์” มูลค่า 3 แสนล้าน

รองนายกฯ “พิพัฒน์” มอบสำนักงานบอร์ดนโยบายอีอีซี หารือเตรียมเมกะโปรเจกต์ “ดิสนีย์แลนด์-สนามกีฬายักษ์” มูลค่า 3 แสนล้านบาท แทน “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมพื้นที่ใน 4 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และฉะเชิงเทรา รองรับการสร้างสนามกีฬาระดับโลก ขนาด 80,000 ที่นั่ง และสวนสนุกขนาดใหญ่ โดยศึกษาความเหมาะสมในการดึงสวนสนุก “ดิสนีย์แลนด์เข้ามาพื้นที่อีอีซี

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังไม่มีสนามกีฬาขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับการจัดกิจกรรม (อีเวนต์) ระดับโลกได้ ขณะที่ก่อนหน้านี้เกิดข้อถกเถียงเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่อาจจะมีกาสิโนอยู่ในพื้นที่ ดังนั้นหากจะปรับเปลี่ยนกาสิโนเป็นสวนสนุกดิสนีย์แลนด์แทน ก็น่าจะเหมาะสมมากกว่า

สำหรับดีสนีย์แลนด์ขนาดใหญ่จะใช้พื้นที่ 3,000 ไร่ เชื่อว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมายังพื้นที่อีอีซี พร้อมช่วยสนับสนุน 2 โครงการลงทุนสำคัญ ได้แก่ 1. โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และ 2. โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งจะทำให้เอกชนตัดสินใจง่ายขึ้นในการลงทุน

รายงานข่าวระบุว่า หากไทยผลักดันโครงการนี้ เทียบเทียบเซี่ยงไฮ้ดิสนีย์รีสอร์ต (Shanghai Disney Resort) ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2559 บนพื้นที่ 963 เอเคอร์ ประมาณ 2,435 ไร่ ใช้งบลงทุน 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (175,450 ล้านบาท)

โดยประเทศไทยอาจต้องใช้งบลงทุนถึง 7,000-8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (256,000-292,000 ล้านบาท) เนื่องจากต้นทุนก่อสร้างในปัจจุบันสูงขึ้น และมีการขยายพื้นที่เป็น 1,200 เอเคอร์ หรือประมาณ 3,000 ไร่ เพื่อให้ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ ขณะที่สนามกีฬา 80,000 ที่นั่ง รัฐเคยวางกรอบงบประมาณเบื้องต้นไว้ที่ 15,000 ล้านบาท

ด้าน นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่า การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทั้งสนามกีฬาความจุสูงและสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ จะเป็นตัวเร่งสำคัญต่อหุ้นหลายกลุ่ม อาทิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้อานิสงส์จากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งจากต่างชาติและนักเดินทางในประเทศ ส่งผลให้รายได้ด้านค่าธรรมเนียมสนามบินค่าบริการผู้โดยสาร และรายได้เชิงพาณิชย์ภายในสนามบินเติบโตตามไปด้วย

ขณะที่ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ได้ประโยชน์จากปริมาณการเดินทางมากขึ้น โดยเฉพาะรถไฟฟ้าและทางด่วน ส่วนกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม อาทิ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL จะได้ประโยชน์จากดีมานด์ที่พักเพิ่มขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เข้าชมงาน อาจทำให้อัตราการเข้าพักและราคาห้องพักมีโอกาสขยับขึ้น บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ที่มีฐานลูกค้านักท่องเที่ยวจำนวนมาก การมีสนามกีฬาและสวนสนุกขนาดใหญ่ จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มครอบครัว ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้น

นอกจากนี้ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ได้ประโยชน์จากทราฟฟิกของผู้คนที่เพิ่มขึ้นรอบโครงการ เพราะร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven สามารถกระจายรายได้จากนักท่องเที่ยวและผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาทิ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป (จำกัด) หรือ STECON ได้รับประโยชน์ตรงจากงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของสนามกีฬาและสวนสนุก ซึ่งต้องใช้ผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีประสบการณ์

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า ในส่วนของดิสนีย์แลนด์นั้น หากมีการเข้ามาลงทุนจริง หุ้นที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด คือ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เนื่องจากให้ความสนใจอย่างมากต่อการลงทุนในกิจกรรมรูปแบบนี้ และเป็นไปได้ว่าอาจมีการเจรจาเพื่อขอร่วมลงทุนกับดิสนีย์แลนด์ เพราะเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูงในต่างประเทศ ทางดิสนีย์แลนด์จึงน่าจะพิจารณาพันธมิตรท้องถิ่นเข้าร่วม

ส่วนโครงการสนามกีฬาขนาดใหญ่ 80,000 ที่นั่ง มองว่าหุ้นที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด คือ บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE, บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY และบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB 

Back to top button