SNC ลุ้นกลับมาเติบโตในช่วง1-2 ปีนี้แนะนำซื้อลงทุนระยะยาวเป้า 18.10 บ.

SNC บริษัทย่อยมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังผ่านพ้นช่วงลงทุนไปแล้ว และเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลจากการลงทุนไปในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะทยอยทำกำไรที่เติบโตในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ประเด็นที่หนุนราคาไม่ให้อ่อนตัวลงในช่วงนี้ คือ บริษัทมีโอกาสปรับอัตราจ่ายเงินปันผลขึ้นจากเดิมที่ 50% เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องใช้เงินทุนลดลงไปแล้ว ยังคงแนะนำซื้อลงทุนระยะยาว ด้วยราคาเป้าหมาย 18.10 บาท อ้างอิงกับ P/E ปี 2558 ที่ 12 เท่า


บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (3 ก.ค.) ว่า บริษัท เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ จำกัด (มหาชน หรือ SNC ผลประกอบการไตรมาส 1 เป็นระดับสูงสุดของปี โดยบริษัทยังคงตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 10% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการที่ 8,130 ล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิประเมินว่าเติบโตในระดับสูงกว่าอยู่ที่ระดับ 15% โดยยอดขายในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นดียังไม่ฟื้นตัว ในขณะที่ OEM ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่ายังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะส่วนของการส่งออกไปเอเชียใต้ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 4 แสนหน่วยเป็น 6 แสนหน่วยในส่วนของโมเดลใหม่

แนวโน้มของบริษัท #SCAN (ผลิตอลูมิเนียมคอนเดนเซอร์และท่ออลูมิเนียม SNC ถือหุ้น 100%) ยังไม่กลับมาฟื้นตัวเร็ว ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 50,000 หน่วย ซึ่งต่ำกว่ากำลังการผลิตรวมในปีนี้ที่ 100,000 หน่วย อย่างไรก็ตาม ยังอยู่ในช่วงการเจรจากับลูกค้ารายใหม่ที่ญี่ปุ่น และในกรณีที่หาข้อสรุปได้คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในกลางปีหน้าเป็นอย่างเร็ว ซึ่งจะช่วยให้ลดขาดทุนจากบริษัทนี้ให้เร็วขึ้น ในปีที่ผ่านมามีผลขาดทุนประมาณ 76 ล้านบาท ในส่วนของปี 2558 คาดว่าจะขาดทุนลดลง

ส่วนแนวโน้มของบริษัท #SAHP (ผลิต Heat Pump โดย SNC ถือหุ้น 74%) คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 300 ล้านบาท แม้ว่าจะยังไม่มาก แต่มีแนวโน้มรายได้และกำไรที่เติบโตเร็ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบในยุโรปที่เอื้อต่อยอดขายของบริษัท

ด้านแนวโน้มของบริษัท #SFHI (ผลิต Insulation Pipe Kit & Foam Insulation โดย SNC ถือหุ้น 70%) ยอดขายในปีนี้ คาดว่าจะยังไม่สูงนักแต่มีอัตรากำไรที่ค่อนข้างดีและคืนทุนได้เร็ว ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีกำไร 30-40 ล้านบาท

สำหรับภาพโดยรวมบริษัทย่อยมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังผ่านพ้นช่วงลงทุนไปแล้ว และเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลจากการลงทุนไปในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะทยอยทำกำไรที่เติบโตในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า

ประเด็นที่หนุนราคาไม่ให้อ่อนตัวลงในช่วงนี้ คือ บริษัทมีโอกาสปรับอัตราจ่ายเงินปันผลขึ้นจากเดิมที่ 50% เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องใช้เงินทุนลดลงไปแล้ว โดยประเมินเงินปันผลในปีนี้อยู่ที่ 0.91 อ้างอิง payout ratio ที่ 60% คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 5.8% ถือว่าอยู่ในระดับสูง ยังคงแนะนำซื้อลงทุนระยะยาว ด้วยราคาเป้าหมาย 18.10 บาท อ้างอิงกับ P/E ปี 2558 ที่ 12 เท่า

 

Back to top button