IPZ

บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ IP แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ที่มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท อินเตอร์ฟาร์มา-ซีวิต้า จำกัด หรือ IP-Z ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของบริษัท จำนวน 980,000 หุ้น ส่งผลให้บริษัท อินเตอร์ฟาร์มา-ซีวิต้า จำกัด กลายเป็นบริษัทย่อยของ IP ทั้งนี้ รายการดังกล่าวมีกำหนดชำระเงินและโอนหุ้นของบริษัท อินเตอร์ฟาร์มา-ซีวิต้า จำกัด ภายในไตรมาส 4 ของปี 2568 โดยมีรายละเอียดของรายการดังนี้ ผู้ซื้อ คือ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) และผู้ขาย คือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด โดยทั้งสองฝ่ายไม่มีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากผู้ถือหุ้นและกรรมการของบริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด มิได้เป็นกรรมการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น หรือผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) ดังนั้น รายการดังกล่าวจึงไม่เข้าข่ายเป็นรายการเกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท อินเตอร์ฟาร์มา-ซีวิต้า จำกัด ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 (ก่อนการเข้าทำรายการ) บริษัทได้จัดทำรายละเอียดไว้เพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนการดำเนินธุรกรรมดังกล่าว รวมไปถึงรายชื่อผู้ถือหุ้นของ บริษัท อินเตอร์ฟาร์มา-ซีวิต้า จำกัด (ภายหลังการเข้าทำรายการ) ทั้งนี้ ธุรกรรมดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 21/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกัน”) อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมดังกล่าวเข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) (“ประกาศรายการได้มาหรือจำหน่ายไป”) ดังนั้น ขนาดของรายการดังกล่าวถือเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่มีขนาดเท่ากับร้อยละ 0.13 ของมูลค่าทรัพย์สินรวม คำนวณจากงบการเงินรวมของบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2568