TraditionalTrade

นายภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ MCA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและผู้ให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบ One-stop Service Marketing Solution จากผลสำเร็จในการดำเนินงานที่สะท้อนผ่านรายได้ไตรมาส 3 ปี 2568 ที่มีจำนวน 225.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160.25 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราการเติบโต 40.49 เปอร์เซ็นต์ หรือเพิ่มขึ้น 64.88 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับรายได้สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ การเติบโตดังกล่าวเกิดจากการขยายตัวของธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและธุรกิจให้บริการด้านการตลาดที่สามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า (Distribution) ที่มีการขยายพอร์ตอย่างมีนัยสำคัญจากการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ และการได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดจำหน่ายช่วงให้กับผลิตภัณฑ์ “จินเจน”, “หังโจว” และ “ฮกกี่” ตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 ซึ่งช่วยขยายตลาดสู่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งยังเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมความสามารถแข่งขันในตลาด Traditional Trade ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัทฯ ในไตรมาสดังกล่าว บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 40.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 14.42 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 54.64 เปอร์เซ็นต์ และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 16.49 เปอร์เซ็นต์ เป็น 18.03 เปอร์เซ็นต์ จากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 5.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3.64 ล้านบาท หรือเติบโต 61.88 เปอร์เซ็นต์ ทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มจาก 2.28 เปอร์เซ็นต์ เป็น 2.62 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ขยายธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า ที่คาดว่าจะสร้างการเติบโตในระยะยาวจากการขยายพอร์ตสินค้าและการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 598.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 470.90 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 26.85 เปอร์เซ็นต์ จากการเติบโตของธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและบริการด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรับรู้รายได้จากบริษัทในเครือ ยูเอ็ม ดีไซน์ แอนด์ โปรดักชั่น จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์ครบวงจร ส่งผลให้ MCA มีกำไรสุทธิ 15.89 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้น แต่ยังสะท้อนการเติบโตเชิงโครงสร้างและศักยภาพระยะยาวของกลุ่มบริษัทฯ ได้อย่างชัดเจน