SAMTEL งานเต็มมือ

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัท สามารถคอมเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SAMTEL ที่ถือหุ้น 100% ได้ทำการเซ็นสัญญากับกองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อทำการติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคมทหารและอุปกรณ์ประกอบระบบมูลค่า 941 ล้านบาท ซึ่งงานโครงการดังกล่าวจะต้องส่งมอบระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา


คุณค่าบริษัท

 

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัท สามารถคอมเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL ที่ถือหุ้น 100% ได้ทำการเซ็นสัญญากับกองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อทำการติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคมทหารและอุปกรณ์ประกอบระบบมูลค่า 941 ล้านบาท ซึ่งงานโครงการดังกล่าวจะต้องส่งมอบระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา

สำหรับเงื่อนไขของการชำระเงินดังนี้ 15% ของมูลค่าตามสัญญา (หรือ 141 ล้านบาท) ต้องชำระภายใน 45 วันและที่เหลืออีก  85% (หรือ 800 ล้านบาท) แบ่งจ่ายเป็น 4 งวดตามความคืบหน้าของงานที่แล้วเสร็จนั่นเอง

ส่วนกรณีการประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เริ่มต้นในไตรมาส 1 ปี 60 ที่ผ่านมา นับส่งสัญญาณดีแก่ SAMTEL เนื่องจากได้ทำการเซ็นสัญญางานโครงการใหม่จำนวน 1.6 พันล้านบาท ได้แก่สัญญาจัดจ้างทำฐานข้อมูลแผนที่และคำนวณราคาประเมินที่ดินให้กับกรมธนารักษ์ (มูลค่า 249 ล้านบาท) สัญญาติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคมทหารข้างต้นกับกองทัพไทย (มูลค่า 941 ล้านบาท) และอื่นๆ (มูลค่า 400 ล้านบาท)

ที่สำคัญคงจะเห็นการเปิดประมูลงานโครงการภาครัฐขนาดใหญ่มากขึ้นในช่วงไตรมาส 2 ปี 60 และแนวโน้มของการเปิดประมูลที่เพิ่มขึ้นน่าจะต่อเนื่องไปยังครึ่งหลังของปี 2560

โดยหลายฝ่ายคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญางานโครงการใหม่อีกมูลค่า 4 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 60 ซึ่งจะมาจากงานโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ 2 โครงการได้แก่ งานโครงการแรกมูลค่า 935 ล้านบาทและงานโครงการที่สองมูลค่า 2.6 พันล้านบาท คาดจะมีการเปิดประมูลงานโครงการใหญ่และคาดว่า SAMTEL มีแนวโน้มเซ็นสัญญางานใหม่อีก 4 โครงการในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ซึ่งได้แก่ งานโครงการมูลค่า 1.44 พันล้านบาท มูลค่า 1.5 พันล้านบาท มูลค่า 2 พันล้านบาทและมูลค่า 3.5 พันล้านบาท

ดังนั้นทางนักวิเคราะห์คาดอย่างอนุรักษ์นิยมต่อภาพรวมของ SAMTEL ว่าจะทำการเซ็นสัญญางานโครงการใหม่ทั้งหมดมูลค่ารวมกัน 9 พันล้านบาทในปี 2560 เพิ่มขึ้น 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อนเทียบกับเป้าของบริษัทที่ 1 หมื่นล้านบาท และคาดมูลค่างานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (backlog) ณ สิ้นปี 2560 ที่ 9.5 พันล้านบาทในปี 2560 เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน รวมถึงจากสัดส่วนของงานโครงการในรูปของงานบริการที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่างานโครงการที่เน้นการขาย และอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับงานโครงการตรวจสอบข้อมูลและประวัติผู้โดยสารล่วงหน้า (เอพีพีเอส) ที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 1 ปี 60

นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง จึงทำการปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับปี 2560 เพิ่มขึ้นจาก 19% ไปเป็น 19.9% และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 เพิ่มขึ้นอีก 14% (ไปเป็น 425 ล้านบาท) ส่งผลให้ทำการปรับราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2560 เพิ่มขึ้นอีก 16% (มาอยู่ที่ 17.5 บาท) แนะนำ “ซื้อ”

 

ผู้ถือหุ้นใหญ่

  1. บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 433,464,590 หุ้น 70.14%
  2. ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 29,966,560 หุ้น 4.85%
  3. กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว 12,333,400 หุ้น 2.00%
  4. บริษัท วิไลลักษณ์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด 8,015,200 หุ้น 1.30%
  5. น.ส.วรมาศ ศรีวัฒนประภา 6,030,300 หุ้น 0.98%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายสมบัติ อุทัยสาง ประธานกรรมการ
  2. นายสมบัติ อุทัยสาง กรรมการอิสระ
  3. นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร
  4. นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการ
  5. นายจง ดิลกสมบัติ กรรมการผู้จัดการใหญ่

Back to top button