ปีทองของหุ้นบลูชิพ

ชะตากรรมของดัชนีหลักของตลาดหุ้นไทย 2 ดัชนี มีความแตกต่างกันชนิดย้อนแย้งอย่างชัดเจนในปี 2560 บ่งบอกสถานการณ์ของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นเจ้าของหุ้น


พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

ชะตากรรมของดัชนีหลักของตลาดหุ้นไทย 2 ดัชนี มีความแตกต่างกันชนิดย้อนแย้งอย่างชัดเจนในปี 2560 บ่งบอกสถานการณ์ของบริษัทจดทะเบียนที่เป็นเจ้าของหุ้น

ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดเมื่อวันที่ 4 มกราคมปีนี้ ที่ระดับ 1,548.61 จุด แต่ปิดตลาดที่ระดับ 1,563.58 จุด หลังจากนั้น ก็ใช้เวลายาวนานกับการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ระหว่าง 1,560-1,590 จุด ยาวนานจนถึงปลายเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะทะยานขึ้นมาต่อเนื่อง และมาพักย่ำฐานอยู่แถวระดับ 1,680-1,720 จุด ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนธันวาคม ก่อนจะทะยานขึ้นท้าทายจุดปิดสูงสุดที่เป็นประวัติศาสตร์ จนทำท่าจะทะลุไปได้ ก่อนที่จะปิดตลาดที่ห่างจากจุดสูงสุดเดิมที่ทำไว้เมื่อวันที่  4 มกราคม 2537 หรือ กว่า 24 ปีก่อน เพียงแค่ 0.90 จุด

ส่วนดัชนีตลาดหุ้น mai เปิดตลาดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ระดับ 619.06 จุด แล้วปิดตลาดวันเดียวกันที่ 617.38 จุด จากนั้นก็ทะยานขึ้นตลอดเดือนมกราคม ขึ้นไปแถวระดับเหนือ 640 จุด ก่อนที่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนมีนาคม ดัชนีจะร่วงลงมาที่จุดต่ำสุดที่ระดับ 570 จุด แล้วรีบาวด์กลับมาแถว 600 จุด ก่อนที่จะร่วงลงมาถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม แถวระดับ 550 จุด แล้วแกว่งตัวระยะหนึ่งด้วยความพยายามกลับขึ้นไป แต่ไม่ผ่านแนวต้านเหนือ 580 จุด ก่อนที่จะร่วงเป็นเวลายาวนานในช่วงเดือนสิงหาคมหลังประกาศงบไตรมาสสองของปีผ่านไปที่น่าผิดหวัง ลงมาแถวระดับต่ำสุดที่แถว 530 จุด แล้วก็รีบาวด์ขึ้นมาพร้อมกับดัชนี SET แต่ก็ไม่สามารถข้ามแนวต้านเหนือ 580 ขึ้นไปได้ แม้จะใช้เวลาดันดัชนีนานว่า 2 เดือนครึ่ง

กลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา ดัชนี mai ร่วงลงมายาวนานต่อเนื่องอีกครั้งสวนกับดัชนี SET ชนิดคนละทาง จนล่าสุดปิดตลาดวานนี้ ดัชนีอยู่ที่ 539.39 จุด

ชะตากรรมที่แตกต่างกัน อธิบายได้ โดยที่กรณีของ SET ที่การทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของดัชนี SET ในปีนี้มีเหตุผลรองรับในรายละเอียดขององค์ประกอบ ทั้งจากพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนวัดจาก ค่าพี/อี ของตลาด และสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท และจากขนาดของตลาดที่ใหญ่โตกว่าในอดีตมาก

มาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าทางการตลาดของตลาดหุ้นไทยในปี 2537 อยู่ที่แค่ 2.995 ล้านล้านบาท โดยมีบริษัทจดทะเบียนต่ำกว่า 300 ราย แต่ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแคปที่ระดับ 17.255 ล้านล้านบาท มีขนาดใหญ่กว่าในอดีตเกิน 5.5 เท่า มีบริษัทจดทะเบียน และหลักทรัพย์อื่นเช่นกองทุนหลากหลายประเภท REITs และตราสารอนุพันธ์อีกมากมาย เกือบหรือกว่า 1,000 รายการ

แม้ว่าช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่ดัชนี SET ยังแกว่งตัวน่าอึดอัด แต่หากพิจารณาผลตอบแทนของ SET เทียบกับปลายปี 2558 พบว่าเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในภูมิภาค ตามทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น โดยราคาหลักทรัพย์ทุกกลุ่มปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานอิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์นำโดยกลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีภัณฑ์ และกลุ่มอาหาร

พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยิ่งมีความชัดเจน โดยที่ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยดีกว่าในอดีตมาก ราคาหุ้นมีความสมเหตุสมผลกับกำไรมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากค่าพี/อีเฉลี่ยล่าสุดของตลาดอยู่ที่แค่ 18.7 เท่า ในขณะที่ในต้นปี 2537 นั้นมีค่าพี/อีของตลาดมากถึง 32 เท่า

(อาจจะมีข้อยกเว้น ก็เป็นหุ้นบางกลุ่มของตลาด ที่มีค่าพี/อีเฉลี่ยของกลุ่ม สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดรวม เช่นกลุ่มโรงพยาบาล ในขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคาร ถือว่าต่ำกว่าค่าพี/อี เฉลี่ยของตลาดรวมมาก)

ยิ่งกว่านั้น หากลงลึกในรายละเอียด จะพบว่าค่าเฉลี่ยหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(ดี/อี) ในปัจจุบันของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉลี่ยแล้วต่ำกว่า 2 เท่า จะมียกเว้นบางรายเท่านั้นที่เกินค่าเฉลี่ยมาก

พื้นฐาน ขนาด รวมทั้งความหลากหลาย ตลอดจนผลิตภัณฑ์ป้องกันความเสี่ยงอย่างตราสารอนุพันธ์ ทำให้กลไกการป้องกันตัวเองของตลาดหุ้นไทยและนักลงทุนมีความเข้มแข็งกว่าในอดีตหลายเท่า

ในทางกลับกัน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai อยู่ในช่วงถดถอยลงโดยเฉลี่ยชัดเจน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ต่ำกว่าระดับ 3.5% รวมทั้งโอกาสอันจำกัดในการหารายได้จากการลงทุนในต่างประเทศที่บริษัทขนาดใหญ่สามารถกระทำได้ดีกว่า

ประการสำคัญคือ การถอนตัวย้ายตลาดของหุ้นขนาดใหญ่สุดของตลาด mai อย่างบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่เคยมีมาร์เก็ตแคปมากถึงครึ่งหนึ่งของตลาด ก็อธิบายได้ชัดเจนและเปิดจุดเปราะบางของหุ้นในตลาดนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

อย่าได้แปลกใจที่จะมีข้อสรุปว่าปีนี้นอกจากจะเป็นปีทองของดัชนี SET แล้ว ยังถือว่าเป็นปีทองของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ระดับบลูชิพโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นโรงไฟฟ้าที่เคยถูกนักลงทุนหมางเมินมายาวนาน

ตัวเลขไม่เคยโกหก

Back to top button