ตลท.ขึ้น SP หุ้น TFI หลังผู้สอบบัญชีไม่เชื่อมั่นงบปี 60

ตลท.ขึ้น SP หุ้น TFI หลังผู้สอบบัญชีไม่เชื่อมั่นงบปีประจำปี 60 เหตุเกิดข้อสงสัยในความไม่แน่นอนผลคดีซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลถึง 2 คดี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP บริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TFI ตั้งแต่การซื้อขายรอบเช้าวันนี้ (16 ก.พ.) และจะปลดเครื่องหมาย SP ในวันที่ 19 ก.พ.61 แต่จะขึ้นเครื่องหมาย NP แทน

ทั้งนี้ สาเหตุที่ส่งผลให้ตลท.ขึ้นเครื่องหมาย SP และ NP หุ้น TFI เนื่องจากกรณีผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 60 ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้

อย่างไรก็ตาม TFI ได้ชี้แจงต่อกรณีที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ของ TFI นั้น เนื่องจากผู้สอบบัญชีไม่อาจให้ข้อสรุปถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกิจการจากผลกระทบของการที่บริษัทฯ ถูกฟ้องคดี ดังนี้

โดยบริษัทถูกธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งฟ้องคดีเป็นจำเลยที่ 3 ตามสัญญาจำนำหุ้นที่ออกให้ค้ำประกันแก่บริษัท ร่วม (บริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันศาลล้มละลายกลางพิพากษาให้ล้มละลาย เมื่อ วันที่ 18 มกราคม 2560 สัดส่วนเงินลงทุนของบริษัทฯในบริษัทร่วมร้อยละ18.96) วงเงิน 600 ล้านบาท

สำหรับสัญญาจำนำหุ้นดังกล่าวทำเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2546 โดยระบุวันที่ครบกำหนด 4 ปี นับแต่วันที่สัญญาจำนำหุ้น เท่ากับสิ้นสุดภาระจำนำตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2550 ต่อมาปรากฏว่าภายหลังสัญญาจำนำสิ้นสุดแล้ว ธนาคารพาณิชย์แห่งนี้กลับนำสัญญาจำนำดังกล่าว มาฟ้องคดีต่อบริษัทต่อศาลแพ่ง และศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ดังนี้

ข้อ ก. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 ยื่นฟ้องกับศาลแพ่ง โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 ศาลได้พิพากษายกฟ้องบริษัทฯโจทก์มีการยื่นอุทธรณ์และบริษัทฯ ยื่นแก้อุทธรณ์ ต่อมาในวันที่21 พฤศจิกายน 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โดยเห็นว่าสัญญาจำนำยังไม่ระงับสิ้นไป และให้บริษัทฯ รับผิดเพียงเท่าที่บังคับจำนำได้แต่ไม่เกิน 600 ล้านบาท โจทก์มีการยื่นฎีกา ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

ข้อ ข. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2552 ธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวกัน ได้นำสัญญาจำนำฉบับเดียวกันกับที่ฟ้องคดีข้อ ก. ยื่นฟ้องกับศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศกลางอีกหนึ่งคดี

โดยเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2560 ศาลได้พิพากษาให้บริษัทฯ ร่วมรับผิดเป็นเงิน 902.3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 600 ล้านบาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จทนายความของบริษัทฯ ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษา เพราะสัญญาจำนำธนาคารและบริษัทฯ ตกลงเงื่อนไขชัดเจนถึงอายุสัญญาจำนำสิ้นสุดเมื่อครบกำหนด 4 ปี

รวมถึงในช่วงที่ครบกำหนดไม่ปรากฏว่าบริษัทร่วมผิดนัดชำระหนี้แต่หากจำต้องรับผิดชอบ บริษัทฯ ก็รับผิดชอบเท่าที่บังคับจำนำหุ้นได้เท่านั้น บริษัทฯ จึงได้ยื่นอุทธรณ์ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

ถึงแม้ว่าจากผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของคดีในข้อ ก. ให้บริษัทฯ รับผิดชอบเท่าที่บังคับจำนำได้ซึ่งหุ้นที่จำนำบริษัทฯ ได้ตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนไว้เต็มจำนวนแล้ว บริษัทฯ จึงไม่มีการตั้งสำรองค่าความเสียหายจากคดีความ แต่ผลคำพิพากษาศาลชั้นต้นของคดีในข้อ ข. ที่ให้บริษัทฯ ร่วมรับผิดเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าวงเงินที่บริษัทฯ จำนำหุ้นไว้ทำให้ผู้สอบบัญชีเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลคดีและการดำเนินงานต่อเนื่องของบริษัทฯ

ทั้งนี้บริษัทมีข้อต่อสู้สำคัญเรื่องสัญญาจำนำเลิกกันเมื่อครบกำหนด 4 ปี และทนายความให้ความเห็นว่ามีโอกาสชนะคดีทั้ง 2 ศาล บริษัทจึงยังมิได้มีการตั้งสำรองหนี้ตามคำพิพากษา

โดยทั้งสองคดีข้างต้นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ในการรอคำพิพากษาศาลฎีกาสำหรับคดีในข้อ 1. ก. และศาลอุทธรณ์สำหรับคดีในข้อ 1. ข. ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติและหากทราบผลคำพิพากษาของทั้ง 2 คดีข้างต้นเมื่อใด บริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบต่อไป

Back to top button