
เปิด 8 ปัจจัยหนุน-กดดันดัชนีวันนี้! ชู 5 หุ้นเด่นเน้นสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง-กำไร Q2 โต
เปิด 8 ปัจจัยหนุน-กดดันดัชนีวันนี้ พร้อมชู 5 หุ้นเด่นเน้นสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง-กำไร Q2 โต
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่า SET Index ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways Up ต่อจากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น โดยตลาดเริ่มเบนความสนใจออกจากประเด็นสงครามการค้าและกลับมาดูปัจจัยพื้นฐานมากขึ้นซึ่งบ้านเรากำลังเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2561
อย่างไรก็ตามยังคงมองการฟื้นตัวของดัชนีไม่ใช่ลักษณะ V-Shape และยังต้องติดตามพัฒนาการของข่าวประเด็นสงครามการค้า ระยะสั้นเราเน้นเก็งกำไรหุ้นที่คาดมีผลประกอบการไตรมาส 2/2561 แข็งแกร่ง ส่วนการปรับลงของตลาดในระยะนี้มองเป็นจังหวะในการซื้อลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่ปรับลงแรงเพื่อลงทุนระยะยาว กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่คาดผลประกอบการไตรมาส 2/2561 แข็งแกร่ง //สะสมหุ้นพื้นฐานเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
หุ้นเด่นเดือนก.ค. : BANPU, CPF, EPG, PTTEP, TISCO
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) กลุ่มยานยนต์ ได้รับ Sentiment เชิงบวกจากข่าวสหรัฐฯอาจยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรปในอัตรา 20-25% จากเดิมที่กำหนดไว้ 2% เพื่อแลกกับการที่ยุโรปจะยุติการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งนี้ แม้คาดผลกระทบค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว เพราะบ้านเราไม่ได้ส่งรถยนต์ไปสหรัฐฯโดยตรง และผู้ผลิตชิ้นส่วนฯได้รับคำสั่งซื้อล่วงหน้า 1-3 ปี แต่ความคลุมเครือช่วงก่อนหน้าทำให้ Auto Index ถูกกดดันจน Underperform ตลาด ข่าวที่ออกมาจึงทำให้ราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหวตามพื้นฐานได้ดีขึ้น ซึ่งเราคาดว่ากำไร 2Q18 ของทั้งกลุ่มจะโดดเด่นตามยอดผลิตรถยนต์ เม.ย.-พ.ค. 18 ที่โต 13% Y-Y แนะนำซื้อ AH ราคาเป้าหมาย 47 บาท และ PCSGH ราคาเป้าหมาย 13 บาท
(+) ERW วานนี้มี Big Lot จำนวน 46 ล้านหุ้นที่ราคา 7.03 บาท (สูงกว่าราคากระดานกว่า 10%) มูลค่ารวม 323 ลบ. เราคาดว่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้น แม้กำไรไตรมาส 2/2561 เบื้องต้นคาดว่าจะหดตัวจากไตรมาสก่อนและจากปีก่อนจากผลกระทบของฟุตบอลโลกที่ทำให้นักลงท่องเที่ยวรัสเซียหายไปและการปรับปรุงโรงแรม JW Marriott แต่คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีและค่อยๆฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสถัดๆไป เบื้องต้นยังคงราคาเหมาะสมที่ 9 บาท คงคำแนะนำซื้อลงทุน
(0) BEAUTY บอร์ดมีมติซื้อหุ้นคืน วงเงิน 950 ลบ. จำนวน 64 ล้านหุ้น หรือ 2.1% ของทุนชำระแล้ว ราคาสูงสุดที่ซื้อได้คือ 14.8 บาทต่อหุ้น (เป็นราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ก่อนประกาศซื้อหุ้นคืน) และเป็นการซื้อในตลาดโดยไม่ได้เสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป ระยะเวลาซื้อคืน 24 ก.ค. 18 – 23 ม.ค. 19 และสามารถนำหุ้นกลับมาขายภายหลัง 6 เดือน นับจากซื้อหุ้นคืนแล้วเสร็จแต่จะไม่เกิน 3 ปี จำนวนหุ้นซื้อคืนค่อนข้างน้อย จึงไม่กระทบกำไรต่อหุ้นและราคาเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากนี้ราคาหุ้นจะหลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเรามองว่างบไตรมาส 2/2561 จะแย่กว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 250-260 ลบ. (เราคาด 226 ลบ.) ยังแนะนำขาย ราคาเป้าหมาย 7 บาท
(+) SPALI ยอด Presales ไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 8.9 พันลบ. (+1% จากไตรมาสก่อน, +54% จากปีก่อน) จากการเปิดโครงการใหม่แนวราบ 3 แห่ง และคอนโด 1 แห่ง มูลค่ารวม 4 พันลบ. ยอดขายครึ่งปีแรกของปี 2561 คิดเป็น 54% ของเป้าทั้งปีที่ 3.3 หมื่นลบ. (+7% Y-Y) ซึ่งเป้าน่าจะต่ำไปถ้าเทียบกับการเปิดตัวโครงการในครึ่งปีหลังของปี 2561 อีกกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท (4 เท่าของ ครึ่งปีแรกของปี 2561) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นมี Upside จำกัดเมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมที่ 26 บาท จึงแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว หรือถือรับปันผลที่คาดกลับมาจ่ายในครึ่งปีแรกราว 2%
(+) ตลาดสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในรอบกว่า 1 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารและเทคโนโลยี ที่คาดว่าจะประกาศผลประกอบการดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้า
(+) ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากปัญหาการเมืองในอังกฤษ หลังจากการลาออกของรัฐมนตรีและคณะทำงานที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย Brexit ของนาง Theresa May
(+) ตลาดเอเชียปรับตัวขึ้นจาก Sentiment เชิงบวกจากฝั่งสหรัฐ โดยคาดว่าตลาดน่าจะสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับสงครามทางการค้าและเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงไประดับนึงแล้ว ทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มกลับเข้าไปเก็งกำไรหลังตลาดปรับฐานลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.05 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 73.85ดอลลาร์/บาร์เรล จากปัญหาการเมืองในประเทศลิเบียที่อาจกระทบต่อกำลังการผลิตประมาณ 0.85 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 3.80 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1259.60ดอลลาร์/ออนซ์