KBANK คาดกรอบบาทสัปดาห์หน้า 32.10-32.60 บ. จับตา GDP ไทย-ดอกเบี้ยสหรัฐ

“กสิกรไทย” ประเมินกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า 32.10-32.60 บาทต่อดอลลาร์ หลังผันผวนตามทิศทางเงินเยนและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น ตลาดจับตาตัวเลขเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ และทิศทางค่าเงินเอเชียสัปดาห์หน้า


ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงวันที่ 17-21 พฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 32.10-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ 32.41 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าตามทิศทางเงินเยนที่ปรับอ่อน หลังตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจยังไม่เร่งเข้มงวดนโยบายการเงินในระยะสั้น ขณะที่เงินดอลลาร์ได้รับแรงสนับสนุนจากการยุติภาวะชัตดาวน์ของหน่วยงานราชการสหรัฐฯ หลังสภาคองเกรสเห็นชอบร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทกลับพลิกแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากตลาดประเมินว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กลับมาประกาศหลังชัตดาวน์อาจออกมาในทิศทางอ่อนแอ แต่การแข็งค่าดังกล่าวยังอยู่ในกรอบจำกัด ก่อนที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐหลายรายส่งสัญญาณกังวลต่อเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนต่อจังหวะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไตรมาส 3 ปี 2568 การส่งออกเดือนตุลาคม ของไทย กระแสเงินทุนต่างชาติ ทิศทางค่าเงินเอเชีย และราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ ดัชนีการผลิตเฟดสาขานิวยอร์กและฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายน การขายบ้านมือสองเดือนตุลาคม รวมถึงบันทึกการประชุมเฟดวันที่ 28-29 ตุลาคม ซึ่งอาจมีผลต่อมุมมองนโยบายการเงินของตลาด

นอกจากนี้ ตลาดยังติดตามตัวเลขสำคัญจากต่างประเทศ อาทิ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไตรมาส 3 ปี 2568 ของญี่ปุ่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยแอลพีอาร์ของจีน อัตราเงินเฟ้อเดือนตุลาคมของยูโรโซนและญี่ปุ่น รวมถึงข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเบื้องต้นเดือนพฤศจิกายนของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยนในภูมิภาค

Back to top button