MINT รายได้ธุรกิจโรงแรม-อาหารพุ่ง ดันกำไร 9 เดือนแรกโต 86% แตะ 4.4 พันล้าน

MINT รายงานผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 66 โต 86% แตะ 4.4 พันล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 2.4 พันล้านบาท รับรายได้ธุรกิจโรงแรมและอาหารพุ่ง


บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 66 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

สำหรับ MINT รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,143.76 ล้านบาท ลดลง 53.48% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4,607.94 ล้านบาท สาเหตุจากค่าใช้จ่าย 36,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.39% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 30,319 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากต้นทุนโดยตรงของกิจการโรงแรมและบริการที่เกี่ยวข้อง และค่าใช้จ่ายในการขาย

ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 66 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,422.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,375.71 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้รวม 113,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.28% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 89,713 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้กิจการโรงแรมและบริการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่ม

บริษัทรายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของไตรมาส 3/2566 สูงเป็นประวัติการณ์เป็นจำนวน 2.3 พันล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราร้อยละ 13 และจากช่วงเดียวกันของปีการระบาดของโรค COVID-19 ที่อัตราร้อยละ 76 จากปัจจัยต่างๆ อาทิความต้องการของการเดินทางที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร และกลยุทธ์การทำแบรนด์และการตลาดของบริษัท สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2566 MINT มีผลการดำเนินงานสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกันเป็นจำนวน 4.6 พันล้านบาท พลิกฟื้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน จำนวน 360 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับในไตรมาส 3 ปี 2566 MINT มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างการจำนวน 0.25 บาทต่อหุ้น จากความสำเร็จของผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2566 การจ่ายปันผลครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดี สถานะงบการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น กระแสเงินสดที่มั่นคงจากการดําเนินงาน และแนวโน้มเชิงบวกสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ รายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตอัตราร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงเป็นประวัติการณ์ของไตรมาส 3 ที่ 1.7 พันล้านบาท      การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากธุรกิจโรงแรมในยุโรป รวมถึงผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของโรงแรมในประเทศไทยและอนันตรา เวเคชั่น คลับ

นอกจากนี้กลุ่มโรงแรมในยุโรปยังสามารถทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาส 3 ส่วนใหญ่มาจากความต้องการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการเดินทางเพื่อธุรกิจเพื่อเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและงานสัมมนาบริษัทที่จัดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส สำหรับโรงแรมในประเทศไทย การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและกลยุทธ์การทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าตลาดใหม่ส่งผลให้กลุ่มโรงแรมในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนอยู่ที่ร้อยละ 38 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ ยังสามารถทำผลการดำเนินงานได้ดีกว่าช่วงของปีการระบาดของโรค COVID-19 ข้ามผ่านผลกระทบของจำนวนเที่ยวบินที่ยังคงมีจำกัด

โดยไมเนอร์ ฟู้ด มีผลกำไรจากการดำเนินงานเป็นจำนวน 584 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2566 เติบโตที่อัตราร้อยละ 47 เทียบกับ 399 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยความสามารถในการทำยอดขายโดยรวมทุกสาขาในประเทศไทยเติบโตกว่าอัตราร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการขยายเครือข่าย การฟื้นตัวของยอดขายจากการรับประทานอาหารภายในร้าน ซึ่งถูกผลักดันจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกแบบเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับตลาด เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและขยายฐานลูกค้า ไมเนอร์ ฟู้ด ประเทศไทย ได้ใช้กลยุทธ์การสร้างความพรีเมี่ยมให้กับแบรนด์หลักๆ เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ให้ธุรกิจ เช่น แดรี่ ควีน ที่เน้นหมวดหมู่พรีเมี่ยมของซันเดย์และเครื่องดื่ม ส่งผลให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นและจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น

โดยแคมเปญใหม่ของ “ชาไทย บลิซซาร์ด” ได้ทำสถิติยอดขายสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จัดแคมเปญทั้งหมด ในขณะที่กลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนยังคงมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเมนู ปรับลดในด้านส่วนลดที่ให้ลูกค้า และใช้กลยุทธ์ในการบริหารสาขาที่ไม่ทำกำไรเพื่อดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทายด้านการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคภายในประเทศ

สำหรับไมเนอร์ โฮเทลส์ เปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 อาทิ เอ็นเอช คอลเลคชั่นในมัลดีฟส์ อนันตรา เกาะยาวใหญ่ รีสอร์ทแอนด์วิลล่าในประเทศไทย และโรงแรมโอ๊คส์เพิร์ธในประเทศออสเตรเลีย การขยายโรงแรมไปยังสถานที่นอกเหนือจากตลาดเดิมยังคงเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท เช่นโรงแรมเอ็นเอชในประเทศอิตาลีและเม็กซิโกที่ได้รีแบรนด์เป็นอวานีในไตรมาสนี้ ในส่วนของไมเนอร์ ฟู้ด มีร้านอาหารใหม่จำนวน 26 สาขาในไตรมาสและได้ประกาศแผนเปิดสาขาแฟรนไชส์สาขาแรกภายใต้แบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในประเทศสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 นับว่าเป็นประเทศที่ 10 ที่แบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ขยายธุรกิจไปยังตลาดระดับโลก

ทั้งนี้บริษัทยังคงมุ่นมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงิน ส่งผลให้ MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่ลดลงและส่วนผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดี MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิที่ 1.05 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ลดลงจาก 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565 อีกทั้ง MINT ยังประสบความสำเร็จในการได้รับการสนับสนุนสินเชื่อร่วมที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan : SLL) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในหมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการในประเทศไทย ยืนยันเป้าหมายของ MINT ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้านการเงินและบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวด้วยความเชื่อมั่นถึงผลการดำเนินงานของปี 2566 และการเติบโตในอนาคต ผมมีความยินดีที่จะกล่าวว่าปัจจัยบวกที่มีอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ MINT สามารถบรรลุกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาส 3/2566 นำโดยความแข็งแกร่งจากกลุ่ม ไมเนอร์ โฮเทลส์ ตลอดทั้งไตรมาสนี้ โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงมีแน้วโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการการเดินทางทั่วโลกที่สูงขึ้น ยอดการจองห้องพักล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นและกิจกกรรมการเดินทางที่มีมากขึ้น

ในส่วนของไมเนอร์ ฟู้ด การเป็นผู้นำตลาดและแบรนด์ชั้นนำยังคงเป็นความมุ่งมั่นของบริษัท โดยมุ่งเน้นการยกระดับผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ภายในร้านเพื่อขยายฐานลูกค้า” นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวเพิ่มเติม “ด้วยแรงผลักดันที่ดี เราเชื่อว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสถัดๆ ไป โดยเฉพาะจากแรงหนุนในช่วงฤดูการท่องเที่ยวสำหรับโรงแรมในทวีปเอเชียในไตรมาส 4 ปี 2566 และไตรมาส 1 ปี 2567

Back to top button