
“ทรัมป์” กดปุ่มเทรดวอร์! ประกาศเก็บภาษีนำเข้าทั่วโลก ไทยโดนหนัก 36%
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เปิดฉากสงครามการค้า ประกาศเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (Baseline Tariff) ในอัตรา 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ พร้อมประกาศใช้ “ภาษีต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariff) ต่อประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอย่างรุนแรง ด้านไทยโดนหนักเก็บภาษี 36%
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แถลงข่าวที่ทำเนียบขาว เปิดฉากสงครามการค้า (เทรดวอร์) ประกาศบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่ที่สั่นสะเทือนโลกการค้า โดยเริ่มจากการเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (Baseline Tariff) ในอัตรา 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสหรัฐฯ จากทั่วโลก โดยจะเริ่มมีผลในเวลา 00.01 น. วันที่ 5 เม.ย.นี้ ตามเวลาท้องถิ่น
นอกจากนี้ ยังประกาศใช้ “ภาษีต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariff) ต่อประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอย่างรุนแรง โดยอิงจากอัตราภาษีที่ประเทศเหล่านั้นเคยเก็บกับสหรัฐฯ และจะเก็บภาษีในอัตราครึ่งหนึ่งของภาษีนั้น
หนึ่งในประเทศที่ถูกกระทบหนักที่สุดคือ ประเทศไทย ซึ่งโดนตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 36% ขณะที่กัมพูชา 49% , ลาว 48% ,เวียดนามโดน 46% และเมียนมา 44% ขึ้นแท่นประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูงที่สุดอับดับต้นๆในมาตรการนี้
ทรัมป์ระบุว่า มาตรการครั้งนี้ถือเป็น “วันปลดแอก” สำหรับอุตสาหกรรมของอเมริกา เพราะที่ผ่านมาอเมริกาถูกปล้น ถูกช่วงชิง และถูกขโมยจากทั้งเพื่อนและศัตรู ตอนนี้ถึงเวลาทวงคืนโชคชะตาให้กับอเมริกาแล้ว
รายชื่อประเทศและอัตราภาษีต่างตอบแทน ที่จะมีผลตั้งแต่ 9 เม.ย.นี้ มีมากกว่าสามสิบประเทศ อาทิ จีน 34% ,อินโดนีเซีย 32% ,อินเดีย 26% ,เกาหลีใต้ 25% ,ญี่ปุ่น 24% , สหภาพยุโรป 20% และฟิลิปปินส์ 17%
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังประกาศว่า มาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศที่อัตรา 25% จะมีผลบังคับใช้ทันทีหลังเที่ยงคืนวันที่ 2 เม.ย. 2568 ตามเวลาท้องถิ่น
“เรากำลังเข้าสู่ยุคทองของอเมริกา” ทรัมป์ประกาศอย่างมั่นใจ พร้อมโจมตีแคนาดาและเม็กซิโกว่าค้าขายอย่างไม่เป็นธรรม และเตือนว่าการเก็บภาษีในครั้งนี้ “ยังไม่ใช่การตอบโต้อย่างเต็มที่”
มาตรการครั้งนี้ถูกจับตาว่าจะกระทบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมายังสหรัฐฯ อย่างมาก ขณะที่นักวิเคราะห์ระบุว่า อาจเป็นการเปิดฉาก “สงครามการค้า” รอบใหม่ที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน
ตารางมาตรการ “ภาษีต่างตอบแทน” ประเทศต่างๆทั่วโลก
| Country | U.S. Reciprocal Tariffs (%) |
|---|---|
| Lesotho | 50% |
| Cambodia | 49% |
| Laos | 48% |
| Madagascar | 47% |
| Vietnam | 46% |
| Myanmar (Burma) | 44% |
| Sri Lanka | 44% |
| Mauritius | 40% |
| Guyana | 38% |
| Liechtenstein | 37% |
| Bangladesh | 37% |
| Serbia | 37% |
| Botswana | 37% |
| Thailand | 36% |
| Bosnia and Herzegovina | 35% |
| China | 34% |
| North Macedonia | 33% |
| Taiwan | 32% |
| Indonesia | 32% |
| Fiji | 32% |
| Switzerland | 31% |
| South Africa | 30% |
| Algeria | 30% |
| Pakistan | 29% |
| Tunisia | 28% |
| Kazakhstan | 27% |
| India | 26% |
| South Korea | 25% |
| Brunei | 24% |
| Japan | 24% |
| Malaysia | 24% |
| Namibia | 21% |
| Côte d’Ivoire | 21% |
| European Union | 20% |
| Jordan | 20% |
| Nicaragua | 18% |
| Israel | 17% |
| Philippines | 17% |
| Venezuela | 15% |
| Norway | 15% |
| Nigeria | 14% |
| Oman | 10% |
| Uruguay | 10% |
| Bahamas | 10% |
| Ukraine | 10% |
| Bahrain | 10% |
| Qatar | 10% |
| Iceland | 10% |
| Kenya | 10% |
| Haiti | 10% |
| Bolivia | 10% |
| Panama | 10% |
| Ethiopia | 10% |
| Ghana | 10% |
| United Kingdom | 10% |
| Brazil | 10% |
| Singapore | 10% |
| Chile | 10% |
| Australia | 10% |
| Turkey | 10% |
| Colombia | 10% |
| Peru | 10% |
| Costa Rica | 10% |
| Dominican Republic | 10% |
| United Arab Emirates | 10% |
| New Zealand | 10% |
| Argentina | 10% |
| Ecuador | 10% |
| Guatemala | 10% |
| Honduras | 10% |
| Egypt | 10% |
| Saudi Arabia | 10% |
| El Salvador | 10% |
| Morocco | 10% |

