
“เซฟ เดอะ ชิลเดรน” ชี้เด็กไทยเจออากาศร้อนจัด 40 องศา แนะรัฐเร่งดูแล
เซฟ เดอะ ชิลเดรน เตือนเด็กยุคใหม่ เผชิญคลื่นความร้อน 7 เท่า ทะลุ 40 องศา กระทบทั้งสุขภาพ การเรียนรู้ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว แนะเร่งรัฐและโรงเรียนออกมาตรการคุ้มครองเด็กทันที
นายกีโยม ราชู ผู้อำนวยการบริหาร เซฟ เดอะ ชิลเดรน (Save the Children Thailand) องค์กรเพื่อเด็กชั้นนำระดับโลกเปิดเผยข้อมูลล่าสุดที่น่าตกใจว่า เด็กที่เกิดในวันนี้จะต้องเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรงกว่าเดิมถึง 7 เท่า โดยเฉพาะอากาศร้อนเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบสุขภาพร่างกายของเด็ก แต่ยังรบกวนพัฒนาการ การเรียนรู้ และคุณภาพชีวิตในระยะยาวงานวิจัยสากลและข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเด็กทั่วโลก รวมถึงเด็กไทย กำลังเผชิญกับอันตรายจากอากาศร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
ในช่วงที่เด็กไทยจำนวนมากยังอยู่ใน “ปิดเทอมใหญ่” และใช้เวลาอยู่บ้านหรือในชุมชนเป็นหลัก เซฟ เดอะ ชิลเดรน เผยข้อมูลวิจัย เมื่อปี 2567 พบว่าช่วงปี 2524–2562 ความถี่และระยะเวลาของคลื่นความร้อนในประเทศไทย โดยเฉพาะเขตเมืองและปริมณฑล เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขตกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ประสบคลื่นความร้อนยาวนานขึ้น แม้ในเวลากลางคืน ทำให้เด็กปรับตัวได้ยากขึ้นและเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำและโรคจากความร้อนมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นพบว่าเขตที่มีต้นไม้น้อยและสิ่งก่อสร้างหนาแน่น เด็กกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กข้ามชาติ เด็กไร้สัญชาติ และครอบครัวยากจนได้รับผลกระทบรุนแรงเป็นพิเศษ นอกจากนี้ กลุ่มเด็กในประเทศรายได้ปานกลาง-ต่ำ เช่น ประเทศไทย มีแนวโน้มเสี่ยงขาดน้ำ ภาวะช็อกจากความร้อน และโรคผิวหนังเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบระยะยาวต่อการเรียนรู้และพัฒนาการอีกด้วย [2, 3, 4]
ขณะที่ เซฟ เดอะ ชิลเดรนขอเน้นย้ำให้พ่อแม่ผู้ปกครองดูแลเด็กเป็นพิเศษในช่วงนี้ ด้วยการไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ในรถหรือห้องปิดทึบโดยไม่มีผู้ดูแล หลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้านช่วงอากาศร้อนจัด ให้เด็กดื่มน้ำสะอาดบ่อย ๆ แม้ไม่ได้รู้สึกกระหาย แต่งกายเด็กด้วยเสื้อผ้าบาง สีอ่อน ระบายอากาศได้ดี หมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เช่น เหงื่อออกน้อย ซึม เบื่ออาหาร หรืออาเจียน หากพบให้พาเด็กไปพบแพทย์ทันที รวมถึงติดตามข่าวสารและประกาศเตือนภัยจากทางการอย่างใกล้ชิด พร้อมอธิบายเหตุผลและวิธีดูแลตนเองให้เด็กเข้าใจ
เซฟ เดอะ ชิลเดรนยังขอเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินมาตรการคุ้มครองเด็กจากอันตรายของคลื่นความร้อน โดยเฉพาะในสถานศึกษา ซึ่งควรมีแผนรับมือ เช่น การปรับเวลาเรียน หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และจัดจุดพักคลายร้อนพร้อมน้ำดื่มสะอาดอย่างเพียงพอภายในโรงเรียน นอกจากนี้ ควรอบรมครูและผู้ปกครองควรให้สามารถสังเกตอาการผิดปกติของเด็กที่เกิดจากคลื่นความร้อนได้อย่างทันท่วงที โดยต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการดูแลเด็กกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กที่มีความพิการ และเด็กในพื้นที่ขาดแคลน
ในระดับนโยบาย รัฐควรสนับสนุนให้โรงเรียนมีโครงสร้างที่ทนต่อสภาพอากาศ และมีแนวปฏิบัติชัดเจนเมื่อเกิดอากาศร้อนจัด รวมถึงส่งเสริมให้บุคลากรมีความพร้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางโรงเรียนปลอดภัย (Safe Schools) ที่ประเทศไทยได้ร่วมขับเคลื่อน
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 30% ภายในปี 2573 และอาจเพิ่มเป็น 40% หากได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ เซฟ เดอะ ชิลเดรนขอย้ำว่า เป้าหมายเหล่านี้ต้องเดินหน้าอย่างจริงจัง พร้อมรายงานความก้าวหน้าอย่างโปร่งใส
สุดท้าย เราเรียกร้องให้รัฐบูรณาการเรื่องการปกป้องเด็กจากความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และมลพิษ เข้าสู่นโยบายด้านการลดผลกระทบและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงระบุการปกป้องเด็กไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้เด็กไทยเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ยั่งยืน และเป็นธรรม
นายกีโยม ราชู ผู้อำนวยการบริหาร เซฟ เดอะ ชิลเดรน กล่าวว่า คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น กำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของเด็กมากขึ้นเรื่อย ๆ เราขอเน้นย้ำให้ผู้ปกครองทุกท่านใส่ใจดูแลลูกหลานอย่างใกล้ชิด ให้เด็กดื่มน้ำบ่อย อยู่ในที่ร่ม แต่งกายเหมาะสม และสังเกตอาการผิดปกติอยู่เสมอ หากพบอาการน่ากังวล ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว สำหรับภาครัฐ เราขอเรียกร้องให้เห็นความสำคัญและเร่งดำเนินมาตรการป้องกันคลื่นความร้อนในกลุ่มเด็ก เช่น การจัดหาแหล่งน้ำสะอาด พื้นที่คลายร้อนในโรงเรียนและชุมชน และเผยแพร่ข้อมูลที่เข้าใจง่ายถึงครอบครัวทุกกลุ่ม เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการปกป้องอย่างเท่าเทียม
สุดท้ายนี้ เซฟ เดอะ ชิลเดรน (Save the Children Thailand) เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเพื่อเด็กแห่งแรกของโลกทำงานเพื่อเด็กมานานกว่า 100 ปี และทำงานในประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นเวลากว่า 46 ปี เพื่อให้เด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยได้รับสิทธิในด้านต่าง ๆ เช่น สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากความรุนแรง สิทธิที่จะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ และสิทธิที่จะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพทั้งกายและใจ เพราะเราเชื่อว่าเด็กทุกคนสมควรที่จะมีอนาคตที่สดใส