
“ดาวโจนส์” ปิดบวก 564 จุด รับแรงหนุนจ้างงานแกร่ง-หวังเทรดวอร์คลี่คลาย
“ดาวโจนส์” ปิดบวกแรง 564 จุด สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากข้อมูลจ้างงานแข็งแกร่ง หนุนดัชนี S&P500 ปิดบวก 9 วันติดเทียบเท่าสถิติปี 47
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเกินคาด และกระแสข่าวบวกเกี่ยวกับการเจรจาคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,317.43 จุด เพิ่มขึ้น 564.47 จุด หรือ +1.39%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,686.67 จุด เพิ่มขึ้น 82.53 จุด หรือ +1.47% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,977.73 จุด เพิ่มขึ้น 266.99 จุด หรือ +1.51%
โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 3% ขณะที่ S&P500 และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 2.9% และ 3.43% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนี S&P500 ที่ปิดบวกติดต่อกัน 9 วัน ซึ่งเทียบเท่าสถิติสูงสุดเดิมในปี 2547 ส่วนดาวโจนส์ก็ทำสถิติบวก 9 วันต่อเนื่องเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 138,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานยังคงทรงตัวที่ 4.2% ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน และช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หลังจากก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า GDP สหรัฐฯ หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนเปิดเผยว่าอยู่ระหว่างพิจารณาข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ต้องการเปิดการเจรจาเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่เก็บกับสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145% ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจ
ในส่วนของตลาดหุ้น รายงานผลประกอบการไตรมาสที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนช่วยหนุนกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเชฟรอนเพิ่มขึ้น 1.6% และเอ็กซอนโมบิลเพิ่มขึ้น 0.4% ขณะที่ในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นเมตาเพิ่มขึ้น 4.3%, Nvidia เพิ่มขึ้น 2.6% ส่วน Apple ปรับตัวลดลงเกือบ 4% หลังประกาศลดวงเงินซื้อหุ้นคืนและเตือนผลกระทบจากภาษีนำเข้าอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกกว่า 900 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังจับตาความเคลื่อนไหวของดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมหลักใน S&P500 ซึ่งทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มสื่อสารที่เพิ่มขึ้น 2.3% ตามด้วยกลุ่มการเงินที่เพิ่มขึ้น 2.15% ขณะที่กลุ่มสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภคปรับขึ้นน้อยที่สุดที่ 0.6%