
HMPRO–GLOBAL ร่วง! โบรกห่วงสาขาเดิมซบ–เศรษฐกิจฉุดกำลังซื้อถดถอย
HMPRO ร่วง 5% นำ GLOBAL โบรกฯ กังวลยอดขายสาขาเดิมปรับตัวลง หลังกำลังซื้อชะลอตามเศรษฐกิจในประเทศ และตลาดอสังหายังซบเซา
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (6 พ.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ณ เวลา 14:44 น. อยู่ที่ระดับ 7.95 บาท ลบ 0.45 บาท หรือ 5.36% สูงสุดที่ระดับ 8.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 7.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 421.99 ล้านบาท
บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL อยู่ที่ระดับ 6.55 บาท ลบ 0.25 หรือ 3.68% สูงสุดที่ระดับ 6.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 54.02 ล้านบาท
บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ระบุถึง HMPRO มุมมองเป็นกลางถึงลบต่อข้อมูลประชุมนักวิเคราะห์ โดยทิศทางยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ประจำเดือนเม.ย. 68 ลดลง 10% (จากลดลง 5% ในเดือนเม.ย. 67 และไตรมาส 2/67 ลดลงอยู่ที่ 7.3% ส่วนไตรมาส 1/68 ลดลง 3.3%) เพราะอากาศเย็นกระทบยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทำความเย็น (ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าคิดเป็น 25% ของยอดขายรวม โดยยอดขายแอร์เป็นหลักคิดเป็น 10% ของยอดขายรวม) ขณะที่ กำลังซื้อปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบเพิ่มจากความมั่นใจผู้บริโภคลดหลังเหตุแผ่นดินไหวและภาษีการค้าสหรัฐฯ
ทั้งนี้ HMPRO คงแผนเปิดสาขาเพิ่ม 11 สาขาในช่วงที่เหลือของปี 68 ซึ่งเป็นสาขาใหม่ 4 แห่ง และอีก 7 สาขาเดิมที่เป็น Mega Home และ HomePro ที่จะเพิ่มสาขา Homepro และ Mega Home ทำให้มีสาขารวม 148 สาขา ณ สิ้นปี 68 (เป็นสาขาที่มีทั้ง 2 แบรนด์ 16 สาขา เพิ่มจาก 7 สาขา ณ สิ้นปี 67)
นอกจากนี้ มีการคงงบลงทุน 7-8 พันล้านบาท สำหรับปี 68 (ก่อสร้างสาขาใหม่ อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท คลังสินค้าใหม่ อยู่ที่ 2 พันล้านบาท งบเตรียมซื้อที่ดินใหม่ 1 พันล้านบาท ที่เหลือเป็นงบด้าน IT และอื่นๆ
โดยฝ่ายนักวิเคราะห์กังวลต่อ SSSG ในปี 68 ที่มีความท้าทายมากขึ้นในการฟื้นตั ด้วยกำลังซื้อที่อ่อนแอลงจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และตลาดที่อยู่อาศัยซบเซาต่อเนื่อง โดยการศึกษาของฝ่ายนักวิเคราะห์พบว่า SSSG ที่ต่ำกว่าคาดทุกๆ 1% (สมมติฐาน SSSG เพิ่มขึ้น 2% ในปี 68) จะเป็นความเสี่ยงเชิงลบต่อประมาณการกำไรราว 1.14% ภายใต้สมมติฐานอื่นคงที่
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุถึง GLOBAL ภายหลังรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 622 ล้านบาท หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการพิเศษอื่น ๆ จะมีกำไรปกติที่ระดับ 617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 14.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยกำไรดังกล่าวสูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้ราว 10% แต่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์ใน Bloomberg ประเมินไว้ ซึ่งปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรดีกว่าคาด มาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ GLOBAL มีค่าใช้จ่าย SG&A อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 4.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้อยู่ที่ 18.2% ลดลงจาก 20.0% ในไตรมาส 4/67 แต่เพิ่มขึ้นจาก 16.7% ในไตรมาส 1/67
ด้าน ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของบริษัทหดตัวลง 10% ซึ่งถือเป็นการหดตัวมากที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม การทยอยเปิดสาขาใหม่ช่วยหนุนรายได้จากการขายให้ปรับเพิ่มขึ้น 9.9% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวมจากการขายอยู่ที่ 8,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/68 บริษัทได้เปิดสาขาใหม่ 1 แห่ง ที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 68 ส่งผลให้มีจำนวนสาขารวมทั้งสิ้น 91 สาขา เพิ่มขึ้นจาก 90 สาขาในไตรมาสก่อน และ 84 สาขาในไตรมาส 1/67
ขณะที่ กำไรสุทธิในไตรมาส 1/68 คิดเป็นสัดส่วน 27% ของประมาณการกำไรทั้งปีที่ระดับ 2.3 พันล้านบาท ลดลง 4.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่สถิติย้อนหลัง 6 ปีที่ผ่านมา กำไรในไตรมาส 1 มักจะคิดเป็นสัดส่วนราว 30-32% ของกำไรทั้งปี
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 ยังไม่สดใสนัก โดยบริษัทอาจไม่ได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความต้องการซ่อมแซมส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และไม่เกี่ยวข้องกับสินค้ากลุ่มโครงสร้าง ทั้งนี้ แม้ประมาณการกำไรมีความเสี่ยงปรับลดลงเล็กน้อย แต่ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการไว้ตามเดิมในเบื้องต้น แนะนำถือราคาเป้าหมาย 7.80 บาท