
CGSI มอง SET “ไซด์เวย์” กรอบ 1,190-1,225 จุด พร้อมแนะลงทุน 2 หุ้นเด่น
CGSI คาด SET ยังคงเคลื่อนไหวไซด์เวย์ในกรอบบริเวณ 1,190-1,225 จุด โดยอาจเห็นการพักฐานของตลาด จากประเด็นการเมืองในประเทศเข้ามากดดันอีกครั้ง พร้อมแนะลงทุนหุ้น GULF-CPALL เด่น
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยดัชนี DJIA เพิ่มขึ้น 0.62%, S&P500 เพิ่มขึ้น 0.58%, Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.07% ขานรับข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐ-อังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศแรกที่บรรลุการค้าในการเจรจา ตั้งแต่การประกาศนโยบาย Reciprocal tariffs ต้นเดือน เม.ย. อย่างไรก็ตาม ประเทศอังกฤษยังคงโดนภาษีนำเข้าพื้นฐานในอัตรา 10%
โดยตลาดยังคงเฝ้ารอความคืบหน้าการเจรจาระหว่างสหรัฐ-จีน ที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้
ด้านสัญญาทองคำ (COMEX) ปิดที่ US$3,306.00/bbl (-2.53%) หลังจาก fund flow ไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยหลังการบรรลุเป้าหมายการค้าสหรัฐ-อังกฤษ ในขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ (WTI) ปิดบวกที่ US$62.84/bbl (+2.81%)
ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยคาดว่า SET Index ยังคงเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบบริเวณ 1,190-1,225 จุด โดยอาจเห็นการพักฐานของตลาด จากประเด็นการเมืองในประเทศเข้ามากดดันอีกครั้ง หลังศาลอาญาไม่อนุมัติให้อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางออกนอกประเทศ
แต่เชื่อว่ายังไม่หลุด 1,190-1,200 จุด (แนวรับ) เนื่องจากตลาดได้รับรู้ความกังวลสงครามการค้าไปมากพอสมควร และ มีแรงซื้อจาก TESGX
อย่างไรก็ตาม สำหรับการรีบาวน์ของ SET index ในช่วงนี้ เรายังคงแนะนำเพียง trading เพื่อ take profit ในระยะสั้น-กลาง เนื่องจาก
1) ตลาดรอผลคืบหน้าการเจรจาที่สำคัญ อย่าง สหรัฐฯ-จีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี้ ที่อาจยังคงยืดเยื้อ แม้ว่าเมื่อคืน สหรัฐฯ-อังกฤษ จะบรรลุการค้า ซึ่งเป็นผลดีกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าไม่ได้หนุน sentiment การลงทุนในประเทศไทยมากนักเท่าคู่การค้าสหรัฐฯ-จีน
การที่อังกฤษได้ตกลงปรับภาษีศุลกากรลดลงเหลือ 1.8% (จากเดิม 5.1%) และเปิดโอกาสให้สินค้าสหรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น อาจทำให้หลายๆประเทศต้องยินยอมให้สหรัฐนำเข้าสินค้าได้มากขึ้นเช่นกันในข้อตกลงการค้า
2) เชื่อว่าปัจจัยหนุนหลักโมเมนตัมของ SET ที่มาจากแรงเก็งกำไรผลประกอบการ Real sector 1Q25 และ fund flow ที่ไหลเข้ากลุ่ม Big Cap จากการมาของ TESGX เป็นเพียงช่วงต้นเดือนนี้ ก่อนการโยกย้ายเม็ดเงินจาก LTF ไป TESGX (13 พ.ค. นี้) โดยเรายังประมาณการว่าครึ่งนึงของ LTF เดิมที่ไม่ได้ย้ายไปอาจหาจังหวะการขายในสภาวะตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับรายงานผลประกอบการ ดังนี้
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลประกอบไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิ 5,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นไปตามที่ตลาดคาด แม้ว่ารายได้จากการดำเนินงานจะลดลง 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการบำรุงรักษาครั้งใหญ่ของ GSRC การจ่ายไฟฟ้าจาก EGAT ที่ลดลง และหยุดซ่อมบำรุง SPP สามแห่ง แต่รายได้เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อนหน้า มาจาก GPD
บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิ 402 ล้านบาท ลดลง 18% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 13.9% จากไตรมาสก่อนหน้ามากกว่าเราคาดที่ 2.9% แต่น้อยกว่าตลาดคาด 11.3% โดยหากไม่รวมกำไรจากส่วนแบ่งการลงทุน QH ขาดทุนจากการดำเนินงาน 95.1 ล้านบาทในไตรมาส 1/2568 มาจากยอดโอนและกำไรขั้นต้นที่อยู่อาศัยลดลง
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ NTL รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.22 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 16.6% จากไตรมาสก่อนหน้า มากกว่าเราและตลาดคาด 8.8%/ 7.8% โดยปัจจัยบวกมาจากค่าใช้จ่ายที่ไม่มีดอกเบี้ยลดลง โดยมีการเติบโตของสินเชื่อที่ช้าเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น 0.8% จากไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับหุ้นแนะนำ มีดังนี้
GULF หุ้น Defensive ท่ามกลางนโยบายภาษีที่ยังไม่แน่นอนเพื่อการเจรจาระหว่างสหรัฐ-จีน เป็นผู้นำในกลุ่มโรงไฟฟ้า เรายังคงประมาณการกำไรปกติหลัก 18% สำหรับปี 2568-2570 หลังการควบรวมกิจการ (Take profit : 26.00 / Stop loss : 24.2)
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เราเชื่อว่า CPALL จะมีกำไรปกติแข็งแกร่ง 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 1/2568 มาจากมาร์จิ้นที่ขยายตัว ซึ่งมาจากยอดขายสินค้าประเภทอาหารพร้อมทานที่เพิ่มขึ้น เราคาดว่ายอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับ 7-Eleven จากยอดซื้อและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/2568 (Take profit : 54.50 / Stop loss : 51.75)