
โบรกชู 11 หุ้นเด่น! รับรัฐโยกงบ “ดิจิทัลวอลเล็ต” 1.57 แสนล้าน ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
รัฐบาลโยกงบ “ดิจิทัลวอลเล็ต” สู่แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 6 ด้าน มูลค่า 1.57 แสนล้าน คาดเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา เทคโนโลยี ดิจิทัลอินฟรา และท่องเที่ยวเมืองรอง อาทิ SCC-TASCO-CK-STECON-ERW-CENTEL-AOT-ADVANC-GULF-INSET-MTC ดัน GDP ไทยไตรมาส 4/68 ฟื้นแรง
ผู้สื่อข่าวรายงาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีภาวะผันผวนจาก ภาษีศุลกากรสหรัฐ จึงต้องทบทวนโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ คณะกรรมการได้มีการชี้แจงข้อมูลกับที่ประชุม โดยแจ้งว่ากรอบงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 คงเหลืออยู่ประมาณ 1.57 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ต้องปรับให้เข้ากับการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจ โดยวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจะมีส่วนช่วยเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.7-1.0%
ขณะที่ โครงการที่จะทำนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินที่ตนเคยบอกจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินประมาณ 5 แสนล้านบาท และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลงทุนของประเทศที่มีแผนงานอยู่ 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งจะใช้ในโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันทีก่อน รวมทั้งต้องช่วยพยุงเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงาน ซึ่งจะให้หน่วยงานนำเสนอโครงการเข้ามาให้กับคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการให้พิจารณาในภายในระยะเวลาประมาณ 2- 3 สัปดาห์ และจะมีการพิจารณาโครงการ รวมทั้งติดตามประเมินโครงการด้วย โดยแบ่งออกเป็น 6 โครงการ คือ
1.) โครงการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค, 2.) แผนงานกระทรวงคมนาคม, 3.) การโปรโมทการท่องเที่ยวในเมืองรอง, 4.) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า SME, 5.) ช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออก รวมถึง 6.) การพัฒนาดิจิทัล การศึกษา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และก่อให้เกิดการจ้างงาน
จากข่าวดังกล่าวสอดรับกับ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่าในแง่มุมของการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเห็นความพยามของรัฐบาลเร่งเดินหน้าผ่านนโยบายการคลัง โดยบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจชะลอแจกเงินหมื่น เฟส 3-4 โยกงบ 1.57 แสนล้าน
พร้อมดำเนินโครงการ 6 ประเภทหวังกระตุ้น GDP ได้ 0.7-1.0% อาทิ 1.) โครงการน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร, 2.) แผนงานกระทรวงคมนาคม, 3.) การโปรโมทการท่องเที่ยวในเมืองรอง, 4.) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า SME โดยจะมีการออกซอฟต์โลน, 5.) ช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออก รวมถึง 6.) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และก่อให้เกิดการจ้างงาน
นอกจากนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อนุมัติส่งเสริมลงทุน DATA CENTER-พลังงานหมุนเวียน 7 โครงการ เฉียด 1 แสนล้านบาท คาดการณ์เป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน TECH, ไฟฟ้า, สื่อสาร, รับเหมาก่อสร้าง, นิคมอุตสาหกรรม
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า รัฐบาลมีมติโยกงบโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” มูลค่า 157,000 ล้านบาท สู่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 ด้าน อาทิ 1.) โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ-คมนาคม, 2.) การท่องเที่ยว, 3.) การลดผลกระทบภาคส่งออก/เพิ่มผลิตภาพ และ 4.) เศรษฐกิจชุมชนและการศึกษา
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง จะกำกับผ่านกลไกอนุกรรมการโดยต้องส่งข้อเสนอโครงการภายใน พฤษภาคม 2568 และอนุมัติในระดับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน กรกฎาคม 2568 เพื่อเริ่มเบิกจ่ายจริงในครึ่งปีหลัง 2568
โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองว่า 1.) นโยบายนี้สะท้อนการปรับนโยบายการคลังเชิงโครงสร้างจาก “นโยบายแจกเงิน” เพื่อบริโภคสู่การปรับใช้ “นโยบายลงทุนจริง” เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเบื้องต้น นับเป็น “Reallocation of Stimulus Capital” ที่ช่วยลดแรงกดดันการขาดดุลเชิงโครงสร้าง เช่น การบริโภคเทียมจากเงินแจก สู่การลงทุนที่สร้าง Productive Asset และ Multiplier Effect
2.) ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์มี Impact ต่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross domestic product) ปี 2568 คาดการณ์จะเป็นแรงส่งเพื่อปิด Downside GDP สำหรับปี 2568 ไทยของ Consensus ที่วางกรอบหลังภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) 36% กรอบ 1.3%-1.8% ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP มีโอกาสสูงราว 65% ที่จะมากกว่ากรอบนี้
ในขณะที่เม็ดเงินลงทุนจำนวน 157,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 0.8% ของ GDP นั้น มีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจมากกว่าการแจกเงินโดยตรง โดยเดิมการแจกเงินมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับประมาณ 0.3–0.5% ของ GDP แต่เมื่อปรับเปลี่ยนมาเป็นการใช้จ่ายในรูปแบบการลงทุน เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนี้ การลงทุนในลักษณะดังกล่าวยังสามารถสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ได้ในอัตราสูง ประมาณ 1.3–1.6 เท่า
นอกจากนี้ การลงทุนจะเป็นการกระจายตัวของโครงสร้างเข้าถึงเมืองรอง-ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ, สนับสนุน GDP จากภายในประเทศกระจายตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าเริ่มเบิกจ่ายจริงช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2568 อีกทั้งจะสนับสนุน GDP ไตรมาส 4 รับผลเต็มไตรมาส ลดผลกระทบความเสี่ยงเศรษฐกิจปลายปีจาก External Factors ได้บางส่วน และคาดการณ์ว่า GDP ไทยปี 2568 มีโอกาสโตสูงขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 1.3-1.8% สู่ 2%-2.5% หากบริหารจัดการการเบิกจ่ายได้ดีและมุ่งตรง
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายนักวิเคราะห์เน้นธีม “ลงทุนผ่านรัฐ + เมืองรอง + Digital Infra + Soft Power Tourism” หุ้นเด่นแนะนำ คือ Cement-Asphalt รับความต้องการเร่งขึ้นครึ่งหลังปี 2568 อาทิ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC และ บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO
กลุ่มรับเหมาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON
กลุ่มท่องเที่ยวเมืองรอง บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
กลุ่มเทคโนโลยี Digital Infra อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และบริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET รวมไปถึงกลุ่มสินเชื่อชุมชน/SME อาทิ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC และจำนำทะเบียน