CGSI มองกรอบ SET วันนี้ 1,165-1,185 จุด ชู CRC-KBANK เด่น

CGSI คาดดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวแคบในกรอบ 1,165-1,185 จุด ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากการเมืองในประเทศและความไม่แน่นอนเศรษฐกิจสหรัฐฯ พร้อมชู 2 หุ้นเด่น CRC-KBANK


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ประเมินว่าทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway ภายในกรอบ 1,165-1,185 จุด แม้จะมีโอกาสรีบาวด์ในระยะสั้น แต่ยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะความวิตกเกี่ยวกับภาวะหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ และความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง

ประเด็นการเมืองในประเทศได้รับแรงกดดันเพิ่มขึ้นหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวจำนวนหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองก่อนเข้าสู่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางความไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย

นอกจากนี้ ตลาดยังคงไร้ปัจจัยบวกใหม่ทั้งจากในและต่างประเทศ ขณะที่ประเด็นภาษีศุลกากรยังคงเป็นปัจจัย Overhang ต่อภาพรวมการลงทุน อย่างไรก็ตาม CGSI แนะนำให้นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขการส่งออกของไทยประจำเดือนเมษายน ซึ่งจะประกาศในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่าการส่งออกจะขยายตัว 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะชะลอลงจากอัตรา 17.8% ในเดือนมีนาคม

CGSI เชื่อว่าการส่งออกของไทยในไตรมาส 2/2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากแรงเร่งส่งสินค้าเข้าคลังก่อนที่มาตรการภาษีศุลกากรจะกลับมาบังคับใช้อีกครั้ง ทั้งนี้ หากตัวเลขส่งออกออกมาดีกว่าคาด อาจกระตุ้นแรงซื้อเก็งกำไร โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจไก่เนื้อที่ได้รับผลดีจากคำสั่งห้ามนำเข้าไก่จากบราซิลของจีนและสหภาพยุโรป หลังเกิดการระบาดของโรคไข้หวัดนก โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ไทยมีการส่งออกไก่สดเติบโต 8.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะเดียวกัน CGSI แนะติดตามความคืบหน้าการพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบ อาจส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง

ในส่วนของหุ้นแนะนำ CGSI ระบุว่า CRC แม้ปัจจัยพื้นฐานระยะสั้นยังอ่อนแอจากแรงขาย แต่ราคาหุ้นปรับลงลึกเกินพื้นฐาน โดยยังคงมีแนวโน้มเติบโตระยะยาวจากแพลตฟอร์มค้าปลีกที่หลากหลายและการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัย พร้อมให้ระดับ Take profit ที่ 17.7 บาท และ Stop loss ที่ 18.6 บาท

ส่วน KBANK คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการที่ GULF เพิ่มการถือหุ้นในธนาคารเป็น 5.23% ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยให้ระดับ Take profit ที่ 166.0 บาท และ Stop loss ที่ 163.0 บาท

Back to top button