“เมย์แบงก์” อัพเกรดซื้อ GULF เป้าใหม่ 50 บาท หนุนอัพไซด์ 23% ชี้กำไร 5 ปีโตเฉลี่ย 8%

บล.เมย์แบงก์ ชี้ GULF แนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเป็น 50 บาท มองพอร์ตแข็งแกร่งได้เปรียบนโยบาย PDP ใหม่ หนุนโตยาวจากโครงการ 2.6GW และกำไรที่ถูกปรับเพิ่มต่อเนื่องจากโครงการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 68 ขึ้น 25% และในปี 69 ขึ้นเป็น 28% และกำไรหลักคาดการณ์ว่าในช่วงปี 68-73 บริษัทจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8%


บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทวิเคราะห์ล่าสุด โดยปรับคำแนะนำหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จากเดิม “ถือ” เป็น “ซื้อ” พร้อมปรับราคาเป้าหมายแบบ SOTP เพิ่มขึ้น 11% จาก 45 บาทเป็น 50 บาท

ฝ่ายวิจัยระบุว่า GULF มีพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งและกระจายตัวดี ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงานในตลาดโลกหรือระดับค่าไฟฟ้าภายในประเทศ ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะยังคงรักษาการเติบโตได้อย่างมั่นคงจากโครงการที่ทยอยเดินหน้าเชิงพาณิชย์และรายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่มีเสถียรภาพ

ขณะเดียวกันโครงการในมือที่มีศักยภาพช่วยสนับสนุนการเติบโตระยะยาว ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่า GULF จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการประมูลกำลังผลิตใหม่ของภาครัฐในปีหน้า ทั้งโครงการ Quick Big Win และแผน PDP ฉบับใหม่ที่กำลังจะประกาศใช้สำหรับศักยภาพการเติบโตเพิ่มเติมภายใต้ PDP และโอกาสในการทำดีล M&A นั้น GULF อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ

โดย PDP ใหม่มีแนวโน้มปรับความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและเร่งสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะทำให้ต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานดั้งเดิมเพิ่มเติมเพื่อคงเสถียรภาพของระบบ และจากความเชี่ยวชาญของบริษัทในฐานะผู้พัฒนาโรงไฟฟ้า IPP ทำให้ GULF อาจได้รับกำลังผลิตใหม่ โดยทุก 1GW ใหม่ตามการวิเคราะห์ความอ่อนไหวต่อ สมมติฐานอาจช่วยหนุนกำไรเพิ่มขึ้นราว 6% และเพิ่มราคาเป้าหมายราว 3% ในกรณีของ M&A งบดุลที่แข็งแกร่งของ GULF ช่วยให้สามารถขยายการลงทุนได้ต่อเนื่อง โดยทุกการ ลงทุนมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับโซลาร์ฟาร์มประมาณ 300 เมกะวัตต์ จะเพิ่มอัพไซด์ ต่อทั้งกำไรและราคาเป้าหมายได้ประมาณ 1% ซึ่งตอกย้ำศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของบริษัท

ในแง่ของกำไรหลัก ทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าในช่วงปี 68-73 บริษัทจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8% ภายใต้งานก่อสร้างกำลังผลิตใหม่รวมราว 2.6GWe ทั้งในโรงไฟฟ้าพลังานดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียน โดยคาดว่ากำไรหลักจะเติบโตปีละ 3–4% ในช่วงปี 69-71 และเร่งตัวขึ้น เป็น 12–19% ต่อปีในช่วงปี 72-73 จากการทยอยรับรู้รายได้จากกำลังผลิตใหม่ เช่น โครงการ Burapa IPP 210MWe โครงการโซลาร์และระบบกักเก็บพลังงาน BESS ในประเทศ 909MWe โครงการโรงไฟฟ้าลมในประเทศ 300MWe และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง 292Mwe

ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 68 ขึ้น 25% และในปี 69 ขึ้นเป็น 28% ถัดมาในปี 70 ขึ้นเป็น 30% สะท้อนปัจจัยหลักสี่ประการ ได้แก่ การปรับลดสมมติฐานอัตราภาษีให้สอดคล้องกับอัตราจริงในงวด 9 เดือนปี 68 ที่ระดับ 11% รายได้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้า Jackson จากราคาค่าความ พร้อมจ่ายในตลาด PJM

โดยทางฝ่ายวิจัยปรับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 32%, 37% และ 38% ในแต่ละปี รายได้เงินปันผลจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ซึ่งราคาปิดอยู่ที่ 190.50 บาท ยังแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 170 บาท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 4.5% คิดเป็นรายได้ประมาณ 1.2–1.4 พันล้านบาท และการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่รวม 1GW ทั้งของบริษัทเองและโครงการร่วมทุนในช่วงปี 69-73

Back to top button