
“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 244 จุด รอ Nvidia โชว์งบ – เฟดห่วงนโยบายภาษีฉุดเสถียรภาพเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษี ขณะนักลงทุนชะลอการลงทุนก่อน “Nvidia” รายงานผลประกอบการ ด้าน “เฟด” ชี้อาจต้องตัดสินใจยาก หากนโยบายภาษีสหรัฐฯ กระทบเป้าหมายเงินเฟ้อและการจ้างงาน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนลบเมื่อวันพุธ ( 28 พ.ค.68) ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่ระมัดระวัง นักลงทุนเลือกชะลอการลงทุน เพื่อรอติดตามผลประกอบการไตรมาสแรกของ Nvidia บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับกระแสความหวังในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Big Tech) ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาด
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 42,098.70 จุด ลดลง 95 จุด หรือ –0.58%
- ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 5,888.55 จุด ลดลง 99 จุด หรือ –0.56%
- ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 19,100.94 จุด ลดลง 23 จุด หรือ –0.51%
หลังปิดตลาด Nvidia ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาดีกว่าคาดการณ์ โดยมีรายได้ 44.06 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทเปิดเผยว่าในไตรมาส 2 คาดว่าจะรับรู้ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกราว 8 พันล้านดอลลาร์ จากการขาดทุนที่เกี่ยวข้องกับชิป H20 เนื่องจากข้อจำกัดการส่งออกไปยังจีน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4% ในการซื้อขายช่วงหลังตลาด (after-hours trading)
ขณะเดียวกัน รายงานบันทึกการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ระบุว่า กรรมการบางรายมีความกังวลว่าอาจต้องเผชิญกับ “การตัดสินใจที่ยากลำบาก” หากนโยบายภาษีที่เข้มข้นมากขึ้นส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของเฟดด้านเสถียรภาพราคาและการจ้างงานสูงสุด โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เงินเฟ้อและการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจด้านนโยบายการเงินซับซ้อนยิ่งขึ้น
ในด้านการค้าโลก ความเคลื่อนไหวของประเทศต่าง ๆ ที่เร่งเจรจากับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อหลีกเลี่ยงแผนการขึ้นภาษี ยังคงเป็นประเด็นที่ตลาดจับตา โดยล่าสุดมีรายงานว่า อินเดียยื่นข้อเสนอปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ บางรายการ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการผ่อนปรนภาษีนำเข้าในฝั่งอเมริกา ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือจากวอลล์สตรีท ที่กล่าวหาว่ากำลัง “ลังเล” กับท่าทีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของนโยบายภาษี
การร่วงลงของดาวโจนส์ในครั้งนี้ ยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นรายตัวที่มีน้ำหนักในดัชนี โดย Merck & Co. ปรับตัวลดลง 1.83% เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร และความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมราคายาในสหรัฐฯ ที่กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ขณะที่ Nike Inc. ลดลง 1.67% จากแรงกังวลต่อยอดขายในจีนและต้นทุนการตลาดที่สูงขึ้น หุ้น Chevron Corp. อ่อนตัว 1.31% ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ลดลง หลังมีรายงานว่า อุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเผชิญแรงขายจากการหมุนเวียนเงินลงทุนเข้าสู่หุ้นเทคโนโลยี
ด้าน Goldman Sachs ร่วงลง 1.18% ท่ามกลางความกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจทรงตัวสูงนานกว่าที่คาด กระทบรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจซึ่งยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ขณะที่ Sherwin-Williams ลดลง 1.28% จากความกังวลเรื่องต้นทุนวัตถุดิบและแนวโน้มการชะลอตัวของตลาดก่อสร้างในสหรัฐฯ
ภาพรวมตลาดสะท้อนถึงแรงกดดันจากความไม่แน่นอนหลายด้าน ทั้งผลประกอบการของกลุ่มเทคโนโลยี ความเสี่ยงด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และทิศทางดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า ซึ่งยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตาอย่างใกล้ชิด