คัด 5 หุ้นเด็ดแนวโน้มกำไร Q2/68 สวย

มีความกังวลต่อภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในงวดไตรมาส 2 ประจำปี 2568 ว่าอาจจะแย่ลงกว่าเดิม


เส้นทางนักลงทุน

มีความกังวลต่อภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในงวดไตรมาส 2 ประจำปี 2568 ว่าอาจจะแย่ลงกว่าเดิม ภายหลังตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ของปีนี้ที่ผ่านมา โดย บจ.จำนวน 812 บริษัท คิดเป็น 97.9% จากทั้งหมด 829 บริษัท ซึ่งรวมทั้งใน SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 31 มีนาคม 2568 แต่ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และงบการเงินไม่ตรงรอบปีปฏิทิน

พบว่า บจ.มีกำไรสุทธิ 261,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% จากไตรมาส 1 ปี 2567 ตัวเลขนี้มาจากมี บจ.รายงานกำไรสุทธิ 605 บริษัท คิดเป็น 74.5% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ทั้งนี้กำไรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เนื่องจาก บจ.ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากตราสารทางการเงินและการลงทุนอีกทั้งกลุ่มธุรกิจทั่วไป ไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีผลประกอบการดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม บจ.มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Profit) 406,837 ล้านบาท ลดลง 11.1% จากงวดเดียวกันปีก่อน อันเป็นผลจาก บจ.ใน SET มียอดขาย 4,175,056 ล้านบาท ลดลง 3.6% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลง 3.0% และ 1.0% ตามลำดับ

ขณะที่ในด้านฐานะการเงินของกิจการ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.51 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ที่ 1.50 เท่า

โดยภาพรวมผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มธุรกิจทั่วไปยังคงเติบโตได้ดี โดยได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว ทั้งหมวดอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ค้าปลีก พื้นที่เช่า การบิน และโทรคมนาคม แต่มีความท้าทายจากการแข่งขันที่สูงขึ้น และแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไร

นอกจากนี้ บจ.ขนาดใหญ่หลายแห่งมีกำไรจากการบริหารตราสารทางการเงินและการลงทุน จึงทำให้ในภาพรวมกำไรสุทธิของ บจ.ใน SET ยังคงเติบโตจากปีก่อน แต่กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมี ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลง

อีกทั้งมีความต้องการใช้ไฟฟ้าชะลอตัว ทำให้ภาพรวม บจ.ไทยมียอดขายและกำไรจากการดำเนินงานชะลอลงจากปีก่อน

ด้านผลการดำเนินงานของ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai ไตรมาส 1 ปี 2568 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ.มียอดขายรวม 50,432 ล้านบาท ลดลง 4.6% ต้นทุนขาย 37,366 ล้านบาท ลดลง 3.3% มีกำไรขั้นต้น 13,066 ล้านบาท ลดลง 8.3% ขณะที่ บจ.มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 3.3% ส่งผลให้ บจ.มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,381 ล้านบาท ลดลง 30.6%

ความกังวลถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2568 ของ บจ.ใน SET และ mai ดังกล่าวหลัก ๆ มีสาเหตุมาจากความกังวลต่อนโยบายภาษีตอบโต้ทางการค้า (Reciprocal tariff) ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐฯ ซึ่งแม้ปัจจุบันจะยังคงพลิกกลับไปกลับมา แต่ถือว่าเป็นปัญหาหลักของโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

นับตั้งแต่มีการประกาศ Reciprocal tariff อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยถูกปรับลดประมาณการลงอย่างต่อเนื่องจากหลายสำนัก

โดยคาดการณ์ GDP ล่าสุดของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ในปีนี้ถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.8% จากเดิมที่ 2.8% เนื่องจากผลกระทบของ Reciprocal tariff ตามนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ดังกล่าว

รวมทั้งประเมินว่าผลกระทบนี้ที่มีต่อ GDP และต่อผลการดำเนินงานของ บจ.น่าจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ทำให้กลยุทธ์ในการลงทุนนับจากนี้อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เป็นผลดีกับพอร์ตการลงทุน

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี แนะนำว่า ในช่วงไตรมาส 1ปี 2568 ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจาก Reciprocal tariff แต่กำไรจากการดำเนินงานของ บจ.ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสวนทางกับภาพ GDP ที่เติบโต 3.1% นอกจากนี้ กำไรของ บจ. ภายใต้การวิเคราะห์กว่า 30% จากทั้งหมด 139 บริษัท มีกำไรสุทธิต่ำกว่าคาดการณ์ ส่วนอีก 41% เป็นไปตามคาดการณ์ โดยมีแค่ 28% ที่กำไรสุทธิดีกว่าคาดการณ์

จากข้อมูลพบว่ากลุ่ม หรือ Sector ที่มีกำไรต่ำกว่าคาดการณ์ จะเป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการเชื่องโยงกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม ไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสื่อโฆษณา

ขณะที่กลุ่มผลประกอบการออกมาดีกว่าคาดการณ์จะเป็นกลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ กลุ่มส่งออก เช่น GFPT CPF รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ หรือ กลุ่มแบงก์ (Bank) ที่มีนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายหนี้เสีย และสื่อสาร หรือ ICT ที่การแข่งขันลดลง ทำให้รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังคุมค่าใช้จ่ายได้ดี

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ชี้ว่า ยังเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณนักท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากปีก่อน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 2 นี้แทบไม่เหลือ

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 จึงควรเน้นหุ้น Defensive ที่รายได้ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ หรือสามารถลดต้นทุนได้ในช่วงเศรษฐกิจยังผันผวน ทำให้มีความเสี่ยงน้อยต่อการที่กำไรจะออกมาต่ำกว่าคาดและต้องปรับประมาณการลงอีก

โดยคัดหุ้น TOP PICKS ที่น่าสนใจ ซึ่งคาดว่าผลการดำเนินงานจะออกมาดี ประกอบด้วย ADVANC, BDMS, CPALL, PTG และ TRUE

Back to top button