SET สัปดาห์นี้ “ฟื้นตัว” รับเจรจาการค้าไทย–สหรัฐคืบหน้า ชู WHA-AMATA-ADVANC เด่น

บล.กรุงศรี คาดตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ฟื้นตัว รับเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯคืบหน้า รวมทั้งสหรัฐ-จีน มีแนวโน้มออกมาในทิศทางบวก หนุนหุ้นกลุ่ม Reopening และธีมดอกเบี้ยขาลงเด่น แนะเก็บ WHA, AMATA, ADVANC


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้ (9-13 มิถุนายน 2568) จากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS โดยประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มฟื้นตัว มีแนวโน้ม “ฟื้นตัว” โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกหลายด้าน ทั้งจากสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มอ่อนแรง โดยเฉพาะภาคแรงงานที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ลดแรงกดดันด้านดอกเบี้ยในระยะสั้น

อีกทั้งยังส่งผลให้ภาพของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีแนวโน้มออกมาในทิศทางบวกมากขึ้น หลังจากผู้นำทั้งสองประเทศได้มีการหารือเบื้องต้นไปแล้วในช่วงก่อนหน้า โดยตลาดยังคงรอติดตามรายละเอียดที่อาจทยอยออกมาเพิ่มเติม

ขณะที่ฝั่งไทยก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในการดำเนินการนัดหมายวันเจรจากับสหรัฐฯ หลังจากได้มีการส่งข้อเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วระยะหนึ่ง โดยประเมินว่า ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยหนุนดัชนี SET ให้สามารถฟื้นตัวได้ในกรอบระยะสั้น

สำหรับกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว ยังคงแนะนำกลุ่ม Reopening Trade ที่ยังปรับตัวขึ้นไม่มาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (นิคมฯ) และกลุ่ม China Plays รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางนโยบายการเงินของตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) ที่มีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากกว่าสหรัฐฯ

โดยหุ้นเด่นประจำสัปดาห์นี้ ได้แก่ WHA (ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 6.4 บาท) ได้แรงหนุนจากพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างไทย–สหรัฐฯ ที่ใกล้เกิดขึ้น ส่วน AMATA (ราคาเป้าหมาย 33.5 บาท) อยู่ในธีมเดียวกับ WHA และได้รับแรงขับเคลื่อนเช่นเดียวกัน และADVANC (ราคาเป้าหมาย 340 บาท) โดดเด่นในธีมดอกเบี้ยขาลง พร้อมลุ้นอัพไซด์เพิ่มเติมจากธุรกิจคอนเทนต์ ซึ่งบริษัทเป็นพันธมิตรลิขสิทธิ์รายการกีฬาอย่าง EPL และ TPL

ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วยความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน โดยตลาดคาดว่าจะมีรายละเอียดมาตรการเพิ่มเติมชัดเจนมากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ หลังจากผู้นำทั้งสองฝ่ายได้หารือกันทางโทรศัพท์แล้ว

การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (CPI) เดือนพฤษภาคม ซึ่งจะรายงานในวันที่ 11 มิ.ย. โดยตลาดคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปจะอยู่ที่ +2.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +0.2% เทียบเดือนก่อนหน้าเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +2.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +0.2% เทียบเดือนก่อนหน้าขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ +2.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +0.3% m-m

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เบื้องต้น) เดือนมิถุนายน ซึ่งจะรายงานวันที่ 13 มิ.ย. โดยตลาดคาดอยู่ที่ระดับ 52.0 จุด ใกล้เคียงเดือนก่อน

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน เดือนพฤษภาคม ซึ่งจะรายงานวันที่ 9 มิ.ย. คาดอยู่ที่ -0.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับเดือนก่อนที่ -0.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของจีนเดือนพฤษภาคม คาดการณ์ดุลการค้าเกินดุล 100 พันล้านหยวน จากเดือนก่อนหน้าที่เกินดุล 96.18 พันล้านหยวน โดยคาดว่ายอดส่งออกจะโต +6.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (ชะลอลงจาก +8.1%) และยอดนำเข้า -0.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ (New Yuan Loan) เดือนพฤษภาคม คาดอยู่ที่ 10.98 ล้านล้านหยวน จากเดือนก่อนที่ 10.06 ล้านล้านหยวน

อีกทั้งติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าไทย–สหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการนัดหมายวันหารืออย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ และปัจจัยการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการนัดไต่สวนคดีนายทักษิณ ชินวัตร โดยศาลฎีกาในวันที่ 13 มิ.ย. ซึ่งยังไม่ได้มีการควบคุมตัวตามคำพิพากษา

นอกจากนี้ติดตามทิศทาง Fund Flow นักลงทุนต่างชาติ โดยข้อมูลล่าสุดสัปดาห์ก่อนพบว่าเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) +727 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ประเทศไทยมีเงินไหลออกสุทธิ -77.8 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นหุ้น -72.9 ล้านดอลลาร์ และพันธบัตร -4.8 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในกรอบประมาณ 32.6 บาทต่อดอลลาร์

Back to top button