
HMPRO ร่วงต่อ 4% กังวลกำไรหด-ยอดขายสาขาเดิมอ่อนแอ
HMPRO ร่วง 4% หลังนักวิเคราะห์หั่นคาดการณ์กำไร ไตรมาส 2/68 ลดลง เมื่อเทียบกับปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เหตุยอดขายสาขาเดิมซบ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลด ขณะโบรกฯ คงคำแนะนำ “ถือ” มองกำไรทั้งปีทรงตัว ไม่มีอัปไซด์จากประมาณการเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 มิ.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ณ เวลา 11:02 น. อยู่ที่ระดับ 6.80 บาท ลบ 0.30 บาท หรือ 4.23% สูงสุดที่ระดับ 7.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 119.74 ล้านบาท
บล.เคจีไอ ระบุว่า จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยในเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 55.4 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม จากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อพิจารณารายภาค พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากเดือนก่อนหน้า ในทุกภูมิภาค แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของประเทศไทยจะฟื้นตัวขึ้นจากช่วงที่เลวร้ายที่สุดในช่วงการระบาดของ COVID-19 แต่ระดับดัชนีในปัจจุบันยังไม่กลับไปถึงระดับก่อนเกิดการระบาด ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ อาจเป็นสัญญาณสะท้อนภาวะการใช้จ่ายที่ยังอ่อนแอ
แม้บริษัทจะคาดว่ามีอุปสงค์ในการซ่อมแซมอาคารหลังเหตุแผ่นดินไหว แต่ ภาวะอุปสงค์โดยรวมที่ยังคงซบเซา น่าจะมี น้ำหนักมากกว่า และส่งผล ฉุดยอดขายสาขาเดิม (Same-Store Sales) ของ HMPRO โดย Same-Store Sales ของบริษัท ลดลงในระดับเลขตัวเดียวค่อนไปทางสูงถึงระดับสองหลัก ในช่วงเดือนเมษายน–พฤษภาคม (เทียบกับ -3.3% ในไตรมาส 1/2568) นอกจากนี้ เมื่อประกอบกับ ผลกระทบจากปัจจัยฤดูกาล (ปีที่แล้วมีสภาพอากาศร้อนจัด กระตุ้นยอดขายเครื่องปรับอากาศ ขณะที่ปีนี้ฤดูฝนมาเร็วกว่าปกติ) คาดว่า กำไรในไตรมาส 2/2568 จะลดลงทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และไตรมาสก่อน
นอกจากนี้ คาดว่าผลประกอบการของ HMPRO จะยังไม่น่าสนใจในไตรมาสที่ 3 เนื่องจากเป็นช่วง Low Season แต่ผลประกอบการอาจ ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งตามปกติเป็นช่วง High Season และมักเป็นไตรมาสที่บริษัทมีกำไรสูงที่สุดในรอบปี
อย่างไรก็ตาม ยังมองว่า การที่กำไรจะเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวของปีก่อนในไตรมาส 4/2568 ยังเป็นเรื่องท้าทาย
ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทน่าจะสามารถทำกำไรได้ตามประมาณการปี 2568 ของเราที่ 6.5 พันล้านบาท (ทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน) แต่ยัง ไม่เห็นปัจจัยที่สร้างอัปไซด์ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น จึงคงประมาณการกำไรทั้งปีไว้เท่าเดิม
ดังนั้น ยังคงคำแนะนำ “ถือ” โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 8.20 บาท อิงจาก PER ที่ 16.5 เท่า (อิงค่าเฉลี่ยในอดีตของหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดโลก -0.5 S.D.)