
AOT บนทางสามแพร่ง
หลังจาก บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ถูกบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) รุกฆาตยื่นขอแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี 3 สัญญา 5 สนามบิน
หลังจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ถูกบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) รุกฆาตยื่นขอแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี 3 สัญญา 5 สนามบิน ประกอบด้วย 1) สนามบินสุวรรณภูมิ (สัญญาระหว่างปี 2565-2575) 2) สนามบินดอนเมือง (สัญญาเดือน ต.ค. 2565-ก.ย. 2576) และ 3) สนามบินภูมิภาค ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ (สัญญาปี 2565-2575)
กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ฉุดให้หุ้น AOT ทรุดหนักลงไปกองที่ก้นเหวราคาทำนิวโลว์ต่ำ 30 บาท…ซึ่งงานนี้บอกได้คำเดียวว่าเจ็บหนักปางตายกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนรายใหญ่ หรือแม้กระทั่งนักลงทุนสถาบัน…
คำถามที่ตามมา แล้ว AOT ซึ่งรายได้หลักมาจาก “คิง เพาเวอร์” คิดเป็นสัดส่วน 17% ของรายได้รวม โดยในปี 2567 AOT มีรายได้รวมที่ 67,827.79 ล้านบาท จะหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไง..??
ก็มีหลาย scenario ตั้งแต่ 1) คงสัญญาเดิม 2) เจรจาปรับแก้สัญญา และ 3) ยกเลิกสัญญา แล้วเปิดประกวดราคาใหม่ ไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบไหน..?? ซึ่ง AOT ขอเวลา 60 วัน เพื่อไปตีลังกาคิดให้ถี่ถ้วน…ซึ่งเบื้องต้นได้ปัดตกข้อเสนอ “คิง เพาเวอร์” ที่ของดจ่ายค่าเช่าพื้นที่ช่วงรอผลศึกษา โดยยืนกรานต้องยึดการชำระผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญาเดิม
ขณะที่มุมมองของนักวิเคราะห์ อย่าง บล.เคจีไอ มองว่าทางออกที่เหมาะสม (โดยไม่ยกเลิกสัญญา) จะเป็นการปรับเปลี่ยนจากการกำหนด minimum guarantee เป็นการจัดแบ่งส่วนแบ่งรายได้ที่ 20% สำหรับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ตามสัญญาสัมปทานจากปี 2569 เป็นต้นไป (เริ่มจากเดือนตุลาคม 2568) ซึ่งจะทำให้ 1) รายได้จะลดลงจากประมาณการเดิม 14.1%, 2) EBIT margin จะลดลง 0.04% และ 3) กำไรสุทธิลดลง 24.9%
ดังนั้น คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2568 จะอยู่ที่ 1.90 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.7% และในปี 2569 จะอยู่ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท ลดลง 17.9%
ด้าน บล.ฟิลลิป ระบุว่า “คิง เพาเวอร์” ยังจ่ายตามสัญญาเป็น Minimum Guarantee (MG) เหมือนเดิม หลังจากที่จะขอจ่ายเป็น Revenue Sharing ที่ 20% จากที่จ่ายเฉลี่ย 33-34% ของรายได้ แต่เนื่องจากยังไม่ได้มีการเจรจา ทาง AOT จึงไม่อนุญาตให้จ่าย Revenue Sharing ที่ 20% หากดูตอนที่ชนะประมูลที่ 1) สุวรรณภูมิ KPD เสนอ 15,419 ล้านบาท อันดับ 2 ที่ 8,517 ล้านบาท 2) ดอนเมือง KPD เสนอ 1,500 ล้านบาทเพียงรายเดียว และ 3) 3 สนามบินภูมิภาค KPD เสนอ 2,331 ล้านบาท อันดับที่ 2 ที่ 2,012 ล้านบาท
สัญญาใหญ่อยู่ที่สุวรรณภูมิ แต่มีแนวโน้มที่จะลดค่า Minimum Guarantee โดยผู้บริหารให้ข้อมูลว่า AOT สามารถแก้ไขสัญญาเองได้ เพราะไม่ได้เข้า พรบ.ร่วมทุน และไม่ต้องผ่าน ครม. และเคยแก้ไขสัญญารายอื่นมาก่อนหน้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม มอง Revenue Sharing ที่ 20% เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด เพราะยังทำให้รายได้จากสุวรรณภูมิสูงกว่าผลตอบแทน อันดับที่ 2 เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้อง ส่วนการยกเลิกสัญญาจะเป็นทางเลือกสุดท้าย หากปรับเป็น Revenue Sharing ที่ 20% กำไรปี 2569 จะลดลง 29.4%จากคาดการณ์เดิมเป็น 13,818 ล้านบาท
ฟาก บล.พาย มองทางออกเบื้องต้นที่ AOT พิจารณา คือ การตั้งคณะกรรมการเพื่อมาตรวจสอบถึงเหตุผลและความเหมาะสมในการเจรจากับ “คิง เพาเวอร์” เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับ AOT โดยคาดว่าผลการศึกษามีโอกาสออกมาในรูปแบบของการปรับเงื่อนไขของการชำระผลตอบแทนใหม่ที่อาจจะยกเลิกในส่วนของ Minimum Guarantee หรือพิจารณายกเลิกสัญญาและเปิดประมูลใหม่
ทั้งนี้ มูลค่าการเจรจาคาดว่าจะไม่ต่ำกว่าที่เสนอผลตอบแทนลำดับที่ 2 ที่เสนอไว้ระดับ 8,000 ล้านบาท ซึ่งคิง เพาเวอร์ เสนอสัญญาที่สนามบินสุวรรณภูมิกว่า 15,000 ล้านบาท โดยระหว่างทาง “คิง เพาเวอร์” ยังต้องจ่ายผลตอบแทนในรูปแบบเดิมต่อไป
ส่วนคำแนะนำมีทั้งให้ “ซื้อ” และ “ถือ” นะออเจ้า
ถ้านักลงทุนจะมองว่าในจังหวะที่หุ้น AOT แลนด์ดิ้งอย่างนี้ เป็นโอกาสในการซื้อก็ได้นะ หรือจะมองว่าราคาต่ำแล้วอาจจะต่ำอีก…ก็มองได้อีกนั่นแหละ
แต่ดูจากการที่ “ปวีณา จริยฐิติพงศ์” รักษาการ MD ส่งสัญญาณว่า หากประมูลใหม่ก็ได้น้อยกว่าเก่านะ…สุดท้ายเดาได้ไม่ยาก ก็คงแก้ไขสัญญาแหละ ซึ่งต้องดูว่าเนื้อหาสาระของส่วนแบ่งผลตอบแทนในสัญญาเดิมกับสัญญาใหม่จะแตกต่างกันยังไง..??
เพราะนั่นหมายถึงรายได้ตรงนี้จะหายไปอย่างมีนัยสำคัญนะจิบอกให้…
…อิ อิ อิ…