ครม.ไฟเขียวโซลาร์ลดหย่อนภาษี “ประเสริฐ” จุดประกายใช้ “พลังงานสะอาด” เพิ่มรายได้ประชาชน

“ครม.” ไฟเขียวมาตรการลดหย่อนภาษีจากการติด “โซลาร์รูฟท็อป” สูงสุด 2 แสนบาท สานต่อแนวคิด “ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ” หนุนพลังงานสะอาด ลดค่าไฟ-ลดนำเข้า LNG อย่างยั่งยืน


นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า วันนี้ (24 มิ.ย.68) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชนและประเทศในภาพรวม รวมทั้งสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน

สำหรับมาตรการที่ได้รับความเห็นชอบ ประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่มีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์พลังงาน และ 2) มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (Solar Rooftop) โดยประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายมาติดตั้งหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 200,000 บาท

นายพีระพันธุ์ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากหลายปัจจัย กระทรวงพลังงานจึงเร่งดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งการตรึงค่าไฟฟ้าและการผลักดันนโยบายภาษีเพื่อจูงใจการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาพบว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานของผู้บริโภค เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดความต้องการใช้ไฟฟ้า และลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งเป็นต้นทุนผลิตไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว

มาตรการภาษีจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เพิ่มความมั่นคงพลังงาน และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ได้เร็วขึ้น ขณะที่กระทรวงพลังงานเตรียมนำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ที่ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนแล้ว เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลสำหรับ มาตรการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นแนวนโยบายสำคัญที่กระทรวงพลังงานในสมัย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้เสนอแนวคิดหลัก มุ่งเน้นให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ภายในบ้าน พร้อมสิทธิหักลดหย่อนภาษี เพื่อจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยช่วงกลางปี 2566 กระทรวงพลังงานได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจพลังงาน และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อพัฒนารูปแบบมาตรการทั้งในด้านเทคนิค กฎหมาย และระบบรองรับด้านภาษี ขณะเดียวกันยังได้ดำเนินกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนและประชาชนเพื่อนำมาปรับปรุงข้อเสนอมาตรการให้เหมาะสมกับบริบทการใช้จริง

จากนั้นในปี 2567 กระทรวงพลังงานได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมทั้งจัดเวทีประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ ขณะที่งานวิจัยพัฒนาเครื่อง Inverter พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ก็ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก สวทช. เป็นที่เรียบร้อย และอยู่ในระหว่างเตรียมเข้าสู่กระบวนการผลิตเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนในราคาที่เข้าถึงได้

ต่อมาในช่วงต้นปี 2568 กระทรวงพลังงานได้จัดทำข้อเสนออย่างเป็นทางการเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานสะอาด โดยแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ 1) การหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการติดตั้งระบบ Solar Rooftop ภายในบ้านสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และ 2) การหักลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ช่วยประหยัดพลังงานภายในวงเงินเดียวกัน

สำหรับเป้าหมายระยะต่อไปในปี 2569 เป็นต้นไป กระทรวงพลังงานมีแผนขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครอบคลุมไปยังกลุ่มผู้ประกอบการ SME และโครงการชุมชนพลังงานสะอาด ตลอดจนติดตามผลสัมฤทธิ์ของนโยบายในด้านการลดค่าไฟ ลดการนำเข้า LNG และการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และ Net Zero อย่างยั่งยืน

Back to top button