
“พีระพันธุ์” ล้วงงบ กฟผ. อุ้มค่าไฟงวดก.ย.–ธ.ค. 68 หวังลดเหลือ 3.95 บาทต่อหน่วย
"พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" เดินหน้าแผนลดภาระค่าครองชีพ เคาะแนวทางลดค่าไฟงวดสุดท้ายของปี (ก.ย.-ธ.ค. 68) ตั้งเป้าเหลือ 3.95 บาทต่อหน่วย ดึงงบประมาณจาก กฟผ. เข้ามาอุดหนุน ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าอาจเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นที่สร้างภาระทางการเงินให้รัฐวิสาหกิจในระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ก.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงแนวทางการปรับลดค่าไฟฟ้าในงวดสุดท้ายของปี (กันยายน-ธันวาคม) โดยตั้งเป้าให้ราคาลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.95 บาทต่อหน่วย จากเดิมในงวดปัจจุบันที่ 3.98 บาทต่อหน่วย แม้จะเป็นข่าวดีที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน แต่แนวทางการแก้ปัญหาด้วยการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำงบประมาณเข้าอุดหนุน ได้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญถึงความยั่งยืนและภาระทางการเงินของ กฟผ. ในระยะยาว
เนื่องจาก นายพีระพันธุ์ระบุว่า การปรับลดราคาครั้งนี้เป็นผลมาจากทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับ กฟผ. “มีงบประมาณบางส่วนที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนเพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้เพิ่มเติม” ซึ่งหลังจากนี้ กฟผ. จะดำเนินการแจ้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อพิจารณากำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามข้อเสนอใหม่ต่อไป
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยังเปิดเผยว่า ได้มีการเสนอร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว เพื่อเป็นทางเลือกด้านพลังงานสะอาดให้กับประชาชนในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวได้ทำให้เกิดการวิเคราะห์ในวงกว้างว่า แม้จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่รวดเร็วและตรงจุด แต่การนำงบประมาณของรัฐวิสาหกิจมาใช้พยุงราคาซ้ำ ๆ จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของ กฟผ. หรือไม่ และอาจกระทบต่อแผนการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในอนาคต การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้จึงถูกมองว่าอาจเป็นเพียง “ยาแก้ปวด” ที่ไม่ได้แก้ไขโครงสร้างราคาพลังงานที่แท้จริงอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานระยะยาว