“พิชัย” บินเจรจาการค้า “สหรัฐ” สัปดาห์หน้า – ยังไม่เสนอชื่อ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” เข้าครม.

“พิชัย ชุณหวชิร” เผยกำหนดคิวเรียบร้อย คณะไทยเตรียมบินเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ สัปดาห์หน้า ส่วนชื่อ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” คนใหม่ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติตามกฎหมาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 มิ.ย.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้ากำหนดการไปการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะประเด็นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ขณะนี้ได้กำหนดคิวเรียบร้อยแล้ว โดยคณะของไทยจะออกเดินทางในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ดี นายพิชัยปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อคำถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์พบวัตถุต้องสงสัยบริเวณใกล้ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งสื่อบางรายรายงานว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

ก่อนหน้านี้ นายพิชัย กล่าวว่า ได้ส่งรายละเอียดข้อเสนอของไทยไปยังผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) แล้ว

สำหรับอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บจากสินค้าไทย อยู่ที่ 36% โดยสหรัฐฯ ได้ขยายเส้นตายการบังคับใช้มาตรการออกไป 90 วัน และกำหนดครบกำหนดในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ขณะที่จนถึงขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีการต่อเวลาหรือไม่

นายพิชัย ยังได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงการทำงานเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ทั้งการตั้งทีมเจรจา การว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา หรือล็อบบี้ยิสต์ พร้อมยืนยันความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

โดยในส่วนของการทำหน้าที่เจรจา ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์การเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐฯ มีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ มีการมอบหมายหัวหน้าเจรจาหลายหน่วย หลายระดับ เช่น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (U.S. Department of Commerce) สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) รวมทั้งรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ (Secretary of the Treasury) ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงต้องพร้อมรับมือกับทุกแนวทางที่สหรัฐฯ จะดำเนินการ

“นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องมี 2 หน่วยงานหลัก คือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ทำงานประสานกันแบบคู่ขนาน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบ และสามารถเจรจาได้อย่างครอบคลุมในทุกระดับ โดยผม ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาระดับนโยบาย ทำหน้าที่กำกับให้โทนการเจรจาสอดคล้องกับบริบทของสถานการณ์” รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ

ส่วนอัตราค่าจ้างที่ปรึกษา และบริบทพิเศษของสถานการณ์ปัจจุบันนั้น นายพิชัย กล่าวว่า โดยปกติ อัตราการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา หรือ Lobbyist ในสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 20,000-300,000 ดอลลาร์ต่อเดือน สำหรับการให้บริการทั่วไป แต่ในกรณีปัจจุบัน สถานการณ์ “Reciprocal Tariff” ทำให้บริษัทที่ปรึกษาซึ่งมีความสามารถเฉพาะทางสูง และมีความสัมพันธ์เชิงนโยบายกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถเรียกราคาที่สูงขึ้นกว่าปกติได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นงานที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน แข่งกับประเทศอื่น และเกี่ยวพันกับมูลค่าการค้า และการส่งออกของไทยนับแสนล้านบาทต่อปี

นายพิชัย ยืนยันในความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะสหรัฐอเมริกา มีกฏหมายการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมาย FARA (Foreign Agents Registration Act) ว่า ทุกสัญญาว่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ จะต้องมีการเปิดเผยรายละเอียดบนเว็บไซต์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (U.S. Department of Justice) อย่างชัดเจน

“ถ้าเราไม่มีตัวช่วยที่ดี ไม่มีทีมที่เข้าใจสหรัฐฯ ไม่มีเครื่องมือที่แข็งแรง ประเทศไทยอาจต้องสูญเสียตลาด ส่งออกสะดุด เกษตรกร ผู้ประกอบการเจ็บหนัก การดำเนินนโยบายระหว่างประเทศในโลกยุคปัจจุบัน ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจเชิงเทคนิค ความละเอียดรอบคอบ และความกล้าที่จะตัดสินใจในเวลาที่เหมาะสม” รองนายกฯ และ รมว.คลัง ระบุทิ้งท้าย

ยังไม่เสนอชื่อ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” เข้าครม. 1 ก.ค.

นอกจากนี้ นายพิชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้ากระบวนการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ หลังคณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งมีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธาน ได้ส่งรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 2 รายมายังกระทรวงการคลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อถามถึงกรอบเวลาการเสนอรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา นายพิชัยระบุว่า จะยังไม่สามารถนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ได้ทันในสัปดาห์หน้า เนื่องจากยังต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ครบถ้วนตามระเบียบและข้อกฎหมายก่อน

สำหรับกระแสข่าวที่ระบุว่า ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ นายพิชัยกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “กำลังนั่งอ่านอยู่”

Back to top button