“ดาวโจนส์” ปิดบวก 400 จุด รับวุฒิสภาสหรัฐ พิจารณางบ “ทรัมป์”

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม “ดาวโจนส์” พุ่งกว่า 400 จุด ขานรับความคืบหน้าร่างงบฯ–ภาษีของ “ทรัมป์” ที่ผ่านมติวุฒิสภา ขณะหุ้นเทคโนโลยีถูกแรงขายฉุด Nasdaq ปิดลบ


ดัชนีหุ้นสหรัฐปิดตลาดวันอังคาร (1 ก.ค.68 ตามเวลาประเทศไทย) เคลื่อนไหวผันผวน โดยดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้นแรง ขานรับความคืบหน้ากระบวนการอนุมัติร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดลบจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 44,494.94 จุด เพิ่มขึ้น 17 จุด หรือ +0.91%
  • ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,198.01 จุด ลดลง 94 จุด หรือ -0.11%
  • ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 20,202.89 จุด ลดลง 85 จุด หรือ -0.82%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากการที่ วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติ 50 ต่อ 50 เสียง เพื่อผ่านร่างกฎหมาย Big Beautiful Bill” ซึ่งเป็นร่างภาษีและงบประมาณฉบับสำคัญของฝ่ายบริหาร โดย นายเจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้อำนาจชี้ขาดผ่านร่างดังกล่าว เพื่อให้ทันเส้นตายวันที่ 4 กรกฎาคม ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งเป้าไว้

ต่อจากนั้น ร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาเนื้อหาที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับการจับตาคือ การปลดล็อกข้อจำกัดด้านการควบคุม AI ในระดับรัฐ และการ “ผ่อนปรน” เงื่อนไขการทยอยยกเลิกสิทธิประโยชน์ด้านพลังงานสะอาด

กลุ่มหุ้นเด่น ได้แก่ UnitedHealth (UNH) พุ่ง 4.5% หนุนดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น ขณะที่ Ryder, J.B. Hunt, Landstar หุ้นขนส่งบวกแรง 5-7% หลังร่างงบฯ เพิ่มเม็ดเงินให้ภาคคมนาคม ด้าน Tesla (TSLA) ร่วงกว่า 5% หลัง Elon Musk เปิดศึกวาทกรรมกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยมีประเด็นขัดแย้งเรื่องเงินอุดหนุนและกฎควบคุม AI

นอกจากแนวโน้มการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปัจจัยที่ตลาดจับตา ยังคงเป็น ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต่อการปรับดอกเบี้ย หลังตัวเลขเศรษฐกิจยังแข็งแรง รวมถึงการเจรจาการค้าระดับทวิภาคี ที่สหรัฐฯ กำลังเดินหน้า และความผันผวนของกลุ่มเทคโนโลยี หลังขึ้นทำจุดสูงสุดต่อเนื่องหลายวัน

แม้ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 จะเผชิญแรงขายจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แต่การผ่านร่างกฎหมาย “เมกะบิลล์” ยังถือเป็นแรงบวกต่อตลาดภาพรวม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสาธารณสุขและขนส่ง ขณะที่ตลาดยังรอความชัดเจนจากสภาคองเกรส และปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง

Back to top button