
SET ภาคเช้าร่วง 10 จุด รับแรงกดดันภาษีสหรัฐเรียกเก็บไทย 36%
SET ภาคเช้าร่วง 10 จุด ตามตลาดหุ้นภูมิภาค รับแรงกดดันจากสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร 14 ประเทศเริ่ม 1 ส.ค.นี้ โดยไทยถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 36% เท่าเดิมจากที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ก่อนหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ก.ค.68) ณ เวลา 10:07 น. ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 1,112.77 จุด ลบ 10.23 จุด หรือ 0.91% สูงสุด 1,114.08 จุด ต่ำสุด 1,110.16 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.59 พันล้านบาท โดยปรับตัวลงตลาดภูมิภาค อาทิ ไต้หวัน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ตอบรับความกังวลจากสหรัฐประกาศภาษีศุลกากรประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 14 ประเทศ จะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.โดยไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) วันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะ “Sideways/Down” โดยประเมินแนวต้านที่ระดับ 1,128–1,135 จุด และแนวรับที่ 1,108–1,100 จุด ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
โดยประเด็นสำคัญ คือ การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากับ 14 ประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ในระดับสูง และยังไม่มีข้อสรุปการเจรจา โดยกลุ่มประเทศดังกล่าวมีสัดส่วนรวม 17% ของยอดนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และใช้อัตราภาษีที่ใกล้เคียงกับที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
สำหรับมาตรการภาษีดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่า ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย เป็นประเทศสำคัญที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญในรอบนี้ โดยไทยอยู่ในกลุ่มประเทศแรกที่ได้รับข้อเสนอ และถูกเรียกเก็บภาษีที่ 36% คงเดิม
ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิด Downside ต่อประมาณการ GDP ของไทยในปี 2568 ให้เหลือเพียง 1.3% และกำไรตลาดโดยรวมในปี 2568F อาจลดลงประมาณ 1–2 บาทต่อหุ้น โดยสะท้อนให้เห็นว่าตลาดมีภาพบวกต่ำต่อการฟื้นฟูผลกระทบจากประเด็นการค้า
โดยนับจากวันที่ 9 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐฯ เคยผ่อนผันมาตรการการค้า SET Index ปรับขึ้นเพียง 2.5% เทียบกับ MSCI World ที่เพิ่มขึ้น 16.5% และ MSCI EM Asia เพิ่มขึ้น 24.7% สะท้อนว่าแรงฟื้นของตลาดหุ้นไทยยังต่ำกว่าภูมิภาค
ในระยะถัดไป ตลาดมีแนวโน้มให้น้ำหนักกับโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่ Krungsri Research เคยประเมินไว้เดิมที่ 2 ครั้ง
กลยุทธ์การลงทุนในระยะนี้ แนะนำเน้นหุ้นอิงปัจจัยภายในประเทศที่ได้รับประโยชน์จาก 1) การเร่งนำเข้าสินค้าและการเจรจาการค้า, 2) ธีมดอกเบี้ยขาลง เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มเช่าซื้อที่มี High Yield และหนี้สูง, และ 3) หุ้นอิงภาคบริการ ได้แก่ ท่องเที่ยว การบิน และค้าปลีก ซึ่งได้รับแรงหนุนจากสัญญาณฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนกรกฎาคม โดยอิงจากข้อมูลผู้ใช้บริการสนามบิน AOT ที่เพิ่มขึ้นในเที่ยวบินระหว่างประเทศ หุ้นแนะนำประจำวัน ได้แก่ ADVANC,GULF,CPALL