“สุวัฒน์” ชี้ SET ไร้ปัจจัยใหม่หนุน แนะเกาะธีมรถไฟฟ้า-ท่องเที่ยว

สุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ประเมิน SET ไร้ปัจจัยใหม่หนุน ลุ้นเจรจาภาษีสหรัฐเหลือ 20-25% แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นอิงปัจจัยบวกในประเทศ ชู BTS-BEM รับโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พ่วง AOT- CENTEL หลังยอดนักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัว


นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้อำนวยการสายงานวิจัย ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 9 ก.ค.68 ว่า SET Index ในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจัดเก็บภาษีอัตรา 36% ขณะที่วานนี้ 9 ก.ค สหรัฐฯ ได้มีการผ่อนคลายมาตรการ แต่ SET Index แทบจะไม่ได้ปรับตัว โดยปรับขึ้นเพียงประมาณ 2% และหากมองที่ดัชนีอื่นๆ อาทิ MSCI World ปรับตัวขึ้นเกือบ 20% และ MSCI EMIA ปรับขึ้นถึงประมาณ 25% แสดงให้เห็นว่า SET ไม่ได้มีความคาดหวังในเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาการค้า

ขณะเดียวกัน หากมองไปที่อนาคตจะเห็นได้ว่าประเด็นมาตรการทางการค้ายังคงไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของท่าทีจากสหรัฐฯ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตอบรับอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อเสนอใหม่จากฝั่งไทย ดังนั้นยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม

กลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่า SET Index ยังคงไม่มีความชัดเจนและอยู่ในภาวะ “รอดูท่าที” จึงแนะนำที่จะหันไปลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มอง 2 ประเด็น อาทิ

1.) มาตรการภายในประเทศ เช่น โครงการรถไฟฟ้า 20 ตลาดสาย และ 2.) ตัวเลขด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มกลับเข้ามาในระดับที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ประเด็นรถไฟฟ้า 20 บาท ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าจะส่งผลมีต่อ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยมองว่ารัฐบาลมีแผนดำเนินการช่วงเดือนตุลาคม 2568 ลักษณะให้เงินอุดหนุนโครงการจากส่วนต่างค่าโดยสาร

ส่วนประเด็นสนับสนุนที่อีกเรื่อง คือ เมื่อค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง ในเชิงเปรียบเทียบกับระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ รถไฟฟ้ากลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นในสายตาของผู้โดยสาร

สำหรับหุ้นอื่นๆ ที่น่าจะได้รับผลดีจากประเด็นบวกดังกล่าว ประเมินหุ้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้ช่วงที่ผ่านมายังมีสัญญาณที่น่ากังวล หลังยอดการพรีเซลล์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาไม่เติบโตมากนัก จากผลกระทบหลักมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

อย่างไรก็ดี โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูความน่าสนใจของการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าได้ อีกกลุ่มที่น่าสนใจในช่วงนี้ คือ กลุ่มการบริโภค ภายในประเทศ เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงในงบประมาณรายเดือน หากค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ในระดับต่ำจะสนับสนุนการจับจ่ายเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หากให้วิเคราะห์แยกรายตัว ตั้งสมมติฐานว่า BTS จำนวนผู้ใช้บริการยังคงเท่าเดิม แต่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐในส่วนต่าง ประเมินว่าในทุกเส้นทางที่ BTS ให้บริการ จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน BTS ยังมีแนวโน้มขาดทุนในปีบัญชีนี้ประมาณ 300-400 ล้านบาท ดังนั้น การได้รับเงินอุดหนุนในลักษณะนี้จึงถือเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงผลกระทบจากการที่ค่าใช้บริการถูกลดลงแล้ว ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ทุกๆ การเพิ่มขึ้นของผู้โดยสาร 10% จะช่วยเพิ่มกำไรให้กับ BTS โดยหากมองภาพไปถึงปีหน้าและปีต่อ ๆ คาดว่าจะเริ่มมีกำไรเพิ่มขึ้นได้ถึง 70% ต่อปี เหตุผลที่ตัวเลขการเพิ่มกำไรดูสูงเช่นนี้ เป็นเพราะ BTS อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ (Turnaround) ซึ่งกำไรช่วงแรกที่ได้จะมีจำนวนไม่มาก

เฟสที่ 2 ของโครงการรถไฟฟ้า มองว่าสถานการณ์จะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้นสำหรับ BTS มากกว่า BEM ในหลายด้านหากพิจารณาในเชิงสัมปทาน BTS มีระยะเวลาสัมปทานที่เหลือสั้นกว่า BEM ซึ่งหมายความว่า หากภาครัฐต้องการเข้ามาซื้อคืนสัมปทาน การเจรจาจะมีความง่ายและราบรื่นมากกว่า ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.49 บาท (ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวยังไม่ได้รวมปัจจัยบวกโครงการเข้าไป)

สำหรับ BEM จากการประเมินของนักวิเคราะห์ ตั้งสมมติฐานว่าจำนวนผู้โดยสารยังคงเท่าเดิม และรัฐให้การอุดหนุนส่วนต่างของค่าโดยสาร บริษัทจะได้รับเม็ดเงินเพิ่มเติมประมาณ 1,000 ล้านบาท ในทุก ๆ การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้โดยสาร 10% จะสามารถช่วยเพิ่มกำไรของ BEM ได้ประมาณ 9%

อีกหนึ่งธีมที่น่าสนใจคือ การท่องเที่ยว แม้รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์ล่าสุดอาจทำให้นักลงทุนบางท่านรู้สึกผิดหวัง โดยตัวเลขรวมยังทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 580,000 คน อย่างไรก็ตาม มีประเด็นเชิงบวกที่ควรจับตา คือ จำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในสัปดาห์ล่าสุด อยู่ที่ 89,000 คน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ จึงให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีความแข็งแกร่ง เช่น บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

สุดท้ายนี้ ประเด็นเรื่อง Reciprocal Tariff จากสหรัฐฯ มองว่ายังมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีไม่ถึงระดับ 36% หากสามารถจัดทำข้อเสนอที่เหมาะสมและมีน้ำหนักได้ทันเวลา ซึ่งทีมวิเคราะห์ได้วาง “Base Case” ไว้ที่ระดับภาษีราว 20–25% ถือว่ายังสามารถบริหารความเสี่ยงได้ และเป็นระดับที่ตลาดยังรับได้ในเชิงจิตวิทยา

Back to top button