
ตลาดหุ้นมูลค่าซื้อขายต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ดัชนี SET ปิดตลาดเมื่อวันพุธที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,110.40 จุด ลดลง 5.25 จุด (-0.47%) มูลค่าซื้อขายต่ำมากที่ระดับ 27,165.01 ล้านบาท
ดัชนี SET ปิดตลาดเมื่อวันพุธที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,110.40 จุด ลดลง 5.25 จุด (-0.47%) มูลค่าซื้อขายต่ำมากที่ระดับ 27,165.01 ล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณที่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท เป็นวันที่สองต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นสัญญาณลบที่ชัดเจนว่าตลาดจะซึมตัวต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์ระบุว่าตลาดรอข่าวการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา นักลงทุนจึงยังไม่ทำอะไรในระยะสั้นนี้ จนกว่าจะถึงกำหนดเส้นตายที่สหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีศุลกากรในวันที่ 1 ส.ค. หรือหลังได้รับรู้ผลการเจรจาอย่างชัดเจนแล้ว รวมทั้งทีท่าของเฟดที่ยังดูไม่รีบปรับลดดอกเบี้ย รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ไม่ดี และการเมืองไทยที่ยังไม่แน่นอน ทำให้ตลาดเข้าสู่ภาวะ wait-and-see เช่นเดียวกับตลาดภูมิภาค
แนวโน้มตลาดหุ้นหลังวันหยุด แนะนำให้ติดตามการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าต่อไป โดยล่าสุด “ทรัมป์” เตรียมเปิดเผยสถานะการค้าของอย่างน้อย 7 ประเทศ โดยให้กรอบแนวรับ 1,095 จุด แนวต้าน 1,125 จุด
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดส่งออกเสียหาย 9 แสนล้านบาท ส่วนสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) มองว่าการส่งออกครึ่งปีหลังจะติดลบหากเจรจาไม่สำเร็จและออกมาเร่งให้รัฐบาลแก้ไขสถานการณ์ และนักวิเคราะห์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร (เคเคพี) คาดกระทบ “จีดีพี” ไทย 0.5%
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ล่าสุดออกมายอมรับว่าการท่องเที่ยวไทยปี 2568 จะโตแผ่ว ครึ่งปีแรกต่างชาติเที่ยวไทยยังติดลบ 5% ฉายแววหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี พลาดเป้าหมายจาก 39 ล้านคน เหลือไม่เกิน 35 ล้านคน จากปัญหาโครงสร้างของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป หลังเศรษฐกิจจีนร่วงหนัก คาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยต่ำกว่า 5 ล้านคนในรอบ 12 ปี ซ้ำเติมด้วยวิกฤตเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แม้ทัวร์ยุโรป เอเชียใต้ จะปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงไม่ได้
มูลค่าการซื้อขายหุ้นที่ลดลงเช่นนี้ทำให้โอกาสการฟื้นตัวของดัช SET เป็นไปได้ยากขึ้น นักลงทุนในตลาดจะเหลือเพียงนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนรวมที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมฟันด์โฟลว์ หรือกองทุนต่างชาติ และพอร์ตโบรกเกอร์หรือพรอบเทรด เท่านั้นเป็นตัวเล่นในตลาด ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยติดหุ้นจนไม่สามารถเทรดได้ตามปกติ
มุมมองเชิงลบของนักวิเคราะห์เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความไหวสั่นในใจของนักลงทุนหลักของตลาดหุ้นยามนี้ ทำให้ตลาดร่วงลงไปถึง แนวรับใหม่ที่ต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งนักวิเคราะห์ก็ยังไม่แน่ใจว่าแนวรับที่เคยแข็งแกร่งที่ 1,000 จุด จะเอาอยู่หรือไม่
จากนี้ไปเราคงได้เห็นบทวิเคราะห์เรื่องหุ้นโดยอาศัยตลาดนิวยอร์ก ดัชนีดาวโจนส์ และดัชนี Nasdaq รวมทั้งดัชนีนิกเกอิสำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น กับดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกง กับดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตในตลาดหุ้นจีน ไปพลาง ๆ
นอกจากนั้นยังต้องพึ่งพาราคาน้ำมันที่เป็นตัวแปรสำคัญของการผลิต และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันการเมืองในประเทศที่มีปัญหาอย่างหนักจากคนบางพวกแสดงท่าทีเห็นชอบให้ทหารเข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อดัชนีของตลาดหุ้นไทย วอลุ่มที่หดหายไปจากตลาดอย่างมีนัยสำคัญทำให้โอกาสฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยระยะนี้มีน้อยลงอย่างต่อเนื่อง
วิษณุ โชลิตกุล