
หุ้นยุโรปปิดบวก รับแรงหนุนหุ้นเหมืองแร่-เฮลท์แคร์ นักลงทุนจับตาดีลการค้า “EU-สหรัฐ”
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก จากแรงหนุนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และเฮลท์แคร์ ขณะนักลงทุนติดตามความคืบหน้าเจรจาการค้าระหว่าง EU และสหรัฐฯ รวมถึงการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทชั้นนำ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ก.ค.68) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และเฮลท์แคร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา
• ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 552.93 จุด เพิ่มขึ้น 2.97 จุด หรือ +0.54%
• ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 7,902.25 จุด เพิ่มขึ้น 23.79 จุด หรือ +0.30%
• ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี ปิดที่ 24,456.81 จุด ลดลง 92.75 จุด หรือ -0.38%
• ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 8,975.66 จุด เพิ่มขึ้น 108.64 จุด หรือ +1.23%
นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เปิดเผยว่า EU กำลังดำเนินความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้าที่มีอัตราภาษีต่ำกับสหรัฐฯ โดยมาโรช เชฟโชวิช หัวหน้าฝ่ายการค้าของ EU ระบุเมื่อวันพุธว่า การจัดทำกรอบข้อตกลงมีความคืบหน้าอย่างชัดเจน และอาจบรรลุผลได้ในเร็ววัน
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมรถยนต์เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การเจรจายังครอบคลุมมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ล่าสุด
ในตลาดหุ้น กลุ่มรถยนต์ยุโรปปรับขึ้น 2% โดยเฉพาะหุ้น BMW เยอรมนีที่พุ่ง 4.2% หลังเปิดเผยผลประกอบการเบื้องต้นที่สูงกว่าคาดการณ์ ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ยุโรปปรับขึ้น 3.2% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือน นำโดย Glencore และ Rio Tinto ซึ่งจดทะเบียนในตลาดลอนดอน ต่างเพิ่มขึ้นราว 4%
กลุ่มเฮลท์แคร์ปรับขึ้น 1.8% โดยหุ้น Novo Nordisk เดนมาร์ก เพิ่มขึ้น 2.8% ในทางตรงกันข้าม หุ้นกลุ่มธนาคารยุโรปลดลง 1.6% แม้ยังอยู่ใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2553
นักวิเคราะห์จาก IG Group ระบุว่า ความเคลื่อนไหวด้านภาษีและการค้าจะยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังการประกาศภาษีนำเข้าทองแดง 50% และภาษีสินค้าจากบราซิล 50% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ นักลงทุนอยู่ระหว่างเตรียมรับมือกับฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 โดย ASML ผู้ผลิตอุปกรณ์ชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลก จะเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของยุโรปรายแรกที่ประกาศผลประกอบการในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะสะท้อนศักยภาพการรับมือความไม่แน่นอนด้านการค้า