
XO วิ่ง 2% ลุ้นผลงาน Q2 แจ่ม รับออเดอร์ “ยุโรป” ดันรายได้โตแกร่ง
XO บวก 2% รับแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 2/68 โตเด่น หลังผู้บริหารย้ำออเดอร์ยุโรปหนุนรายได้และกำไร มั่นใจไร้กระทบภาษีสหรัฐฯ พร้อมเดินหน้าขยายตลาดใหม่ ขณะที่โบรกแนะ “ซื้อ” เป้าหมาย 21.20 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (18 ก.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ณ เวลา 14:20 น. อยู่ที่ระดับ 17.80 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 1.71% สูงสุดที่ระดับ 18.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 17.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 10.14 ล้านบาท
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการและกรรมการผู้จัดการ XO เปิดเผยว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 จะเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/2568 ที่มีรายได้รวมประมาณ 484 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 113 ล้านบาท
ขณะเดียวกันคาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 จะเติบโตมากกว่าไตรมาส 4/2567 ที่มีรายได้รวมประมาณ 510 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 121 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานที่เติบโตดังกล่าว เป็นไปตามยอดขายมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ที่ลูกค้ามีค่ำสั่งซื้อ (Order) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซนยุโรป ซึ่งบริษัทมีการขยายตลาดเพิ่มเติม ทั้งตลาดเดิม และตลาดใหม่ ๆ
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2568 บริษัทคงเป้าหมายยอดขายจะเติบโตมากกว่าปี 2567 ที่มียอดขายรวม 2,478.91 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จะมีการประเมินอีกครั้ง หลังประกาศงบไตรมาส 2/2568
โดยกรณีที่สหรัฐอเมริกา เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นั้น บริษัทมองว่าจะไม่มีผลกระทบใด ๆ เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนยอดขายส่งไปไปยังสหรัฐอเมริกาเพียง 2% ของยอดขายรวมปี 2567 ที่อยู่ 2,478.91 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากยอดขายส่งออกจากสหรัฐฯ ในสัดส่วน 2% หายไปในปี 2568 บริษัทมองว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากบริษัทมีการขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ ที่ใหญ่กว่าสหรัฐฯ คาดว่าทำให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้ดีกว่า และชดเชยยอดขายสหรัฐฯ ได้ทั้งหมด
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ “ซื้อ” XO ให้ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 21.20 บาทต่อหุ้น เนื่องจากคาดการณ์จะเห็นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของ XO ตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 เป็นต้นไป ซึ่งจะเห็นรายได้จากการขายกลับมาใกล้เคียงระดับ 600 ล้านบาทอีกครั้ง แต่ยังลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีฐานที่สูง และจะเห็นชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เนื่องจากลูกค้าฝั่งยุโรปกลับมาสั่งสินค้าจากสต๊อกเดิมเริ่มหมด ทั้งจากการขาย และการหมดอายุของสินค้า ส่วนตลาดสหรัฐฯ คาดว่ายังไม่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษีแต่อย่างใด เพราะมีสัดส่วนไม่มาก