
พาราสาวะถี
ยืนยันจากปากของ ทักษิณ ชินวัตร บนเวทีเสวนาเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คดีความผิดมาตรา 112 ที่ศาลนัดตัดสินวันที่ 22 สิงหาคมนี้
ยืนยันจากปากของ ทักษิณ ชินวัตร บนเวทีเสวนาเมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คดีความผิดมาตรา 112 ที่ศาลนัดตัดสินวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เหตุผลที่ฝ่ายจำเลยนำสืบพยานแค่ 3 ปากจากที่เสนอไป 14 ปาก เป็นเพราะได้เห็นพยาน หลักฐานของฝ่ายโจทก์แล้ว ทำให้มั่นใจมองเห็นโอกาสชนะคดีได้ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีบอกว่า คุยกับพนักงานสอบสวนในฐานะที่ตนเคยทำงานด้านนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะอำนาจเผด็จการครองเมืองในเวลานั้น อย่าว่าแต่สรุปสำนวนส่งฟ้องศาล ด้วยพยานหลักฐานที่มีคงไม่รับแจ้งความเสียด้วยซ้ำไป
สะท้อนให้เห็นการใช้กลไกอำนาจเพื่อเล่นงานฝ่ายเห็นต่างเป็นอย่างดี ความจริงคดีนี้หากไปตรวจสอบหลักฐานที่ทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เวลานั้น เห็นกันอยู่ว่าเป็นการพูดถึงองคมนตรีบางคนที่มีการวางแผนร่วมกับกองทัพในการยึดอำนาจ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้มีการพาดพิงหรือดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม งานนี้คงจะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรไม่ได้ เพราะจะเข้าข่ายชี้นำศาล รอดูบทสรุปในวันตัดสินคดีกันว่าจะออกมาแบบไหน ถ้าชี้ว่าผิดฝ่ายจำเลยก็ยื่นอุทธรณ์สู้คดีตามกระบวนการ
ขณะเดียวกัน การขึ้นเวทีหนนี้ของนายใหญ่ก็ทำให้เกิดความชัดเจนอีกประการเรื่องการสะบั้นสัมพันธ์กับ ฮุน เซน อดีตคนเคยรัก พร้อมกับการตั้งข้อสงสัยต่อการพยายามตีประเด็นที่มีการปล่อยคลิปเสียงที่คุยกับ แพทองธาร ชินวัตร ด้วยคำถามที่ดุเดือดว่า “ผมก็แปลกใจผู้นำเขมรมันไร้จริยธรรมจะตาย แต่เรากลับไปเข้าข้างมัน ผมก็งงว่าวันนี้ทำไมคนไทยไม่รักกัน ทั้งที่สิ่งนี้ไม่น่าเกิด ไม่มีผู้นำคนไหนในโลกเขาทำกัน แต่เรากลับทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่เพิ่งหลุดจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็กลับมามองว่าเป็นการขายชาติ เลยไม่รู้ว่าตกลงว่าเขาเป็นเขมรหรือเป็นไทย”
ไม่เพียงแต่ตอกย้ำการตัดขาดจากคนตระกูลฮุนเท่านั้น ยังมีการพาดพิงไปถึงพรรคภูมิใจไทยด้วย ทำให้เห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาของการร่วมงานกันในฐานะรัฐบาลผสมนั้น เต็มไปด้วยความอึดอัด ที่สำคัญคือ ภาพของการโอบกอดระหว่างทักษิณกับ อนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนที่อีกฝ่ายจะถอนตัวไปนั้น เป็นการยืนยันว่า การเมืองเป็นเรื่องของการต่อสู้ที่ไม่หลั่งเลือด แต่พร้อมที่จะเชือดเฉือนกันได้ตลอดเวลา ต่อหน้าดูชื่นมื่น เบื้องหลังเป็นเรื่องกล้ำกลืนฝืนทน จนสุดท้ายไปถึงจุดแตกหัก
แต่นั่นไม่ใช่จุดจบ และการันตีว่าไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะหันหน้ากลับมาคุย หรือคบค้าสมาคมกันได้อีก โดยโจทย์ทางการเมือง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่หากเข้าป้ายมาเป็นอันดับสองรองจากพรรคประชาชน การระดมเสียงเพื่อช่วงชิงการนำจัดตั้งรัฐบาล จำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกพรรคการเมือง นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทักษิณออกตัวไว้ก่อนหน้า ถ้าจะต้องกลับมาร่วมงานกับพรรคสีน้ำเงิน ก็ต้องกลืนเลือดกันหลายปี๊บ ทว่าน่าจะเป็นเลือดที่หวานเจี๊ยบเลยทีเดียว
ย้ำแล้วย้ำอีก การเกิดรัฐบาลพลิกขั้วมีที่มาไม่ธรรมดา ไม่ต่างจากการได้เดินทางกลับประเทศไทยของทักษิณ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่นายใหญ่ต้องปรับตัวไม่ใช่น้อยกับบริบทการเมืองที่เปลี่ยนไป เห็นได้จากข้อเรียกร้องที่ว่า ตนก็อยากจะขอร้องทุกคนว่าการเมืองเปลี่ยนแปลงได้ แต่บ้านเมืองต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ข้าราชการ นักธุรกิจก็ทำงานต่อไป ใครเป็นรัฐบาลก็มีหน้าที่มาเสริมทำให้ภาคเอกชนแข็งแรง
หากเป็นเมื่อก่อนในยุคไทยรักไทยเรืองอำนาจ จะต้องใช้การทุบโต๊ะสั่ง เอาให้ได้ เดินหน้าลุยอย่างเดียว ไม่ใช่เพราะวันนี้เสียงในสภาของเพื่อไทยไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนอดีต แต่มันเป็นเรื่องของการปรับตัวเพื่อไม่ให้มีศัตรูเพิ่ม ความจริงก็อย่างที่ทักษิณบอก นักเลือกตั้งในอดีตก่อนที่ไทยรักไทยจะถือกำหนด แม้ต่างพรรคยังคงคบหา ผูกมิตรกันได้แม้จะต่างพรรค อภิปราย โต้เถียงกันในสภาดุเด็ดเผ็ดมันขนาดไหน เสร็จภารกิจก็ตั้งวงกินข้าวร่ำสุรา ดื่มกาแฟกันได้ด้วยความสบายใจ
หลังจากที่ไทยรักไทยครองความยิ่งใหญ่ต่อเนื่องกระทั่งตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ กลายเป็นจำเลยของนักการเมืองจำพวกสร้างวาทกรรม กล่าวหาสารพัด รวมไปถึงชี้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540 เป็นปัญหา การชิงชัยกันทางการเมืองเป็นเรื่องแบ่งก๊กแบ่งเหล่า จากที่เคยเห็นต่างและคุยกันได้ กลายเป็นแบ่งข้างแยกมิตรแยกศัตรู คุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องแย่งชิงกันเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่มันควรเป็นเหมือนเกมกีฬาใครชนะก็ไปทำหน้าที่ ใครแพ้ก็เป็นฝ่ายค้านคอยตรวจสอบตามครรลอง จนกลายเป็นชนวนนำพาประชาธิปไตยของประเทศเข้ารกเข้าพง บ้านเมืองถอยหลังเข้าคลองมาถึงทุกวันนี้
จากที่ดูเหมือนทักษิณจะไม่ผูกใจเจ็บอาฆาตแค้นกับศัตรูทางการเมือง แต่ความเป็นตัวตนในแง่ของผู้นำทางความคิดยังคงเข้มข้นเหมือนเดิม กับการชี้ว่า ตนไม่สามารถคิดอะไรที่บอกว่าต้องได้รับการสนับสนุนร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่อยทำ มันเป็นไปไม่ได้ นานาจิตตัง มนุษย์มันเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย “บางคนมีวิชั่นบางคนก็วิสั้น ความเข้าใจไม่เหมือนกัน พวกวิสั้นกับพวกวิชั่นมันเถียงกันทั้งวัน” หากคิดว่าสิ่งที่ทำแล้ว ประเมินแล้วว่าเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ก็ต้องอธิบายให้คนเข้าใจ ไม่ใช่บอกว่าต้องปล่อยผ่าน ละเลย ไม่สนใจ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
ท่วงทำนองของทักษิณที่พยายามอยากให้เกิดความปรองดองเพื่อบ้านเมืองเดินไปข้างนั้น ก็ยังมองเห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่จ้องเตะตัดขาตลอดเวลา จึงมีการยกตัวอย่างเรื่องเพื่อนชาวสิงคโปร์ ที่หนักใจเมื่อรู้ข่าวการเดินทางกลับประเทศไทยของตน เพราะต้องเจอกับคู่แข่งน่ากลัว ต้องปรับการแข่งขันกันอีก แต่พอเห็นการเล่นงานรัฐบาลไม่ลดละ โดยเฉพาะกรณี “นายกฯ ถูกพักงานด้วยเรื่องเฮงซวย” คู่แข่งเลยไม่ต้องกังวล แบบนี้ไงที่ทำให้ฝ่ายเขมรถึงเล่นสงครามปั่นประสาทไม่หยุดหย่อน 10 กว่าปีภายใต้เผด็จการสืบทอดอำนาจประเทศยังล้าหลังไม่พอ มันควรถึงเวลาพวกคนดีย์ทั้งหลายถ้าทำประโยชน์ไม่ได้ ควรหยุดสร้างปัญหา
อรชุน