GULF เด้ง 4% ฮุบหุ้น “ปากลาย” ครบ 100% โบรกชี้หนุนกำไรโต 15% ระยะยาว เพิ่มเป้าราคา 4 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ก.ค.68) ณ เวลา 10:16 น. ราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF อยู่ที่ระดับ 45 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.05% สูงสุดที่ระดับ 45.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 44.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 470.37 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมา ตอบรับข่าวบริษัทเข้าไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อเสริมพอร์ตพลังงานสะอาด โดย เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 บริษัท Gulf Hydropower Holdings Private Limited (บริษัทย่อยที่ GULF ถือหุ้นทางอ้อม 100%) ได้เข้าซื้อหุ้น 60% ในบริษัท Pak Lay Power Company Limited จาก SHK มูลค่ารวม 128 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,122.88 ล้านบาท ส่งผลให้ GULF ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Lay ครบ 100% ทั้งทางตรงและทางอ้อม

โครงการ Pak Lay มีกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขง เมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว โดยได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นเวลา 29 ปี และคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2575

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุว่า บริษัทในกลุ่มได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลืออีก 60% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “ปากลาย” จากบริษัท Sinohydro ส่งผลให้ GULF ถือหุ้นในโครงการดังกล่าวเต็ม 100%

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “ปากลาย” มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 770 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบไหลผ่าน (Run-of-River) ตั้งอยู่ใน สปป.ลาว โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นระยะเวลา 29 ปี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2575

ทั้งนี้ ประเมินว่า การเข้าถือหุ้นเต็มครั้งนี้จะส่งผลเชิงบวกต่อประมาณการกำไรสุทธิของ GULF ในระยะยาว ราว 15–16% และช่วยเพิ่มมูลค่าที่เหมาะสมต่อราคาหุ้นเป้าหมายอีกราว 4 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่า GULF จะเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีจากวิธีส่วนได้เสีย (equity method) เป็นวิธีรวมงบการเงิน (consolidation) ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นราว 60,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิ (Net D/E) ของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำ คาดว่าราว 0.5 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 จึงยังมีความสามารถในการรองรับหนี้ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง

ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น GULF โดยมองว่าการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่มี PPA ระยะยาว จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต