
PF เปิดแผน 3 ปี ฝ่าพายุเศรษฐกิจ “ลดหนี้-เพิ่มยอดขาย”
PF เปิดแผนกลยุทธ์ 3 ปีฝ่าวิกฤต มุ่งลดภาระหนี้ลง 50% ในปี 70 วางเป้าขายสินทรัพย์ต่อเนื่อง 3 ปี สร้างยอดขายให้กลับมาแตะระดับ 10,000 ล้านบาทในปี 71 มั่นใจจุดแข็งพอร์ตที่ดินในทำเลศักยภาพ ความร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ และประสบการณ์ 40 ปี หนุนกลับมาเติบโตระยะยาว
นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญแรงกดดันจากความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่ถดถอย ขณะที่การปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในอัตราสูง บริษัทตระหนักดีถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้เตรียมพร้อมรับมือเดินหน้าฝ่าวิกฤตด้วยแผนกลยุทธ์ใน 3 ปี ภายใต้เป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ลดภาระหนี้ สร้างยอดขายเพิ่มรายได้ และปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง
โดยแนวทางสำคัญของบริษัท คือการปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดภาระหนี้ลง 50% ภายในปี 2570 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ให้สามารถดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้ บริษัทยังมีแผนการขายทรัพย์สินที่ไม่ใช่ทรัพย์สินหลัก (Non-Core Assets) ภายในระยะ 3 ปี เริ่มจากปี 2569 มีแผนขายสินทรัพย์มูลค่า 300 ล้านบาท ปี 2570 มูลค่า 2,500 ล้านบาท และปี 2571 มีเป้าหมายขายสินทรัพย์เพิ่มอีกกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนแผนการลดหนี้และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
“บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมเตรียมจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ เพื่อขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการชำระคืนหุ้นกู้จำนวน 15 ชุด ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนระหว่างเดือนสิงหาคม 2568 ถึงมกราคม 2570 โดยบริษัทเสนอขยายระยะเวลาไถ่ถอนทุกชุดออกไป 2 ปี และปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี เพื่อให้สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมความสามารถในการจัดการชำระคืนหนี้หุ้นกู้ ทั้งนี้บริษัทตระหนักถึงความสำคัญของผู้ถือหุ้นกู้ และยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ทุกท่าน” นายศานิต กล่าว
ด้านแผนธุรกิจ บริษัทมุ่งเน้นฟื้นรายได้ผ่านการสร้างยอดขายให้เติบโต โดยตั้งเป้าให้ยอดขายกลับมาสู่ระดับ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2571 กลยุทธ์หลักจะมุ่งไปที่สินค้ากลุ่มบ้านระดับราคาปานกลาง ซึ่งยังคงมีดีมานด์ในตลาด ขณะเดียวกันจะทยอยลดสัดส่วนสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมขายรวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3,500 ล้านบาท โดยจะเร่งระบายสต็อกในโครงการที่สามารถรับรู้รายได้ทันที นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2,220 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีจุดแข็งที่สำคัญ ได้แก่การถือครองทรัพย์สินในทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทำเลที่มีความต้องการด้านที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องและเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ ตลอดจนทำเลที่มีการเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด อย่างเขาใหญ่ หัวหิน และ เชียงใหม่
บริษัทยังเดินหน้าปรับโครงสร้างทางธุรกิจและโครงสร้างองค์กร เป้าหมายหลักคือลดค่าใช้จ่ายลง 20% ภายในปี 2569 โดยมีแผนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานและระบบบริหารจัดการให้มีความกระชับคล่องตัว ยกระดับความสามารถในการทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
“ที่ผ่านมาบริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรระดับโลก อาทิ Sumitomo Forestry และ Sekisui Chemical จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความร่วมมือระยะยาวในพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทในสายตานักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งประสบการณ์ 40 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้สภาวะท้าทาย บริษัทสามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจที่มีผลกระทบในระดับโลกมาแล้วหลายครั้ง และสามารถปรับตัวฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งแผนระยะ 3 ปีของบริษัทครั้งนี้ ไม่เพียงมุ่งรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน แต่ยังเป็นการวางรากฐานใหม่เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต” นายศานิต กล่าว