
ครม.นัดพิเศษ ไฟเขียวร่างถ้อยแถลง “ไทย–สหรัฐ” รองรับภาษีทรัมป์ 19%
ครม.นัดพิเศษ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงไทย–สหรัฐฯ รองรับการเจรจาภาษีนำเข้าอัตราใหม่ 19% เร่งเดินหน้าเจรจาทางเทคนิค รัฐบาลเตรียมมาตรการบรรเทาผลกระทบแก่ภาคเอกชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บ่ายวันนี้ (1 ส.ค. 68) เวลา 13:00 น. มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา
ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงดังกล่าว ซึ่งจัดทำโดยคณะทำงาน นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาภาษีและการค้ากับสหรัฐฯ (หัวหน้าทีมไทยแลนด์) ซึ่งได้ประสานจัดทำร่างฯ ดังกล่าวร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ
นายพิชัย กล่าวว่า “แปลว่าหลังจากวันนี้ ครม. ให้ความเห็นชอบแล้ว สิ่งที่เป็นข้อตกลงเบื้องต้นของเรา ก็คงจะได้รับการเผยแพร่จากทางสหรัฐฯ… ซึ่งจะเอาข้อตกลงที่เป็นกรอบใหญ่ ๆ ในการเข้ามาเจรจา นำมาซึ่งสัญญาที่เรียกว่า ‘อาร์ตเทค’”
รองนายกรัฐมนตรี ระบุเพิ่มเติมว่า ข้อตกลงเบื้องต้นนี้ยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และจะต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจารายละเอียดในขั้นต่อไป โดยฝ่ายไทยได้เสนอกรอบความร่วมมือในลักษณะเบื้องต้น ซึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการจัดทำสัญญาที่มีผลบังคับใช้ในอนาคต
ทั้งนี้ การเจรจาจะเดินหน้าโดยเร็ว เนื่องจากฝ่ายสหรัฐฯ ได้แสดงความประสงค์จะหารือรายละเอียดเพิ่มเติมทันทีภายหลังการประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ที่ 19%
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) และแนวทางการจัดสรรโควตานำเข้า โดยย้ำว่าการเจรจากับสหรัฐฯ มีลักษณะใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ แต่ไทยจะพิจารณาเปรียบเทียบบริบทเฉพาะของตน เพื่อนำมากำหนดท่าทีที่เหมาะสมในการเจรจา
ในด้านผลกระทบต่อภาคเอกชน นายพิชัยระบุว่า รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านภาษีในช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา เช่น กลุ่มที่ชะลอการผลิตหรือระงับการส่งออก โดยขณะนี้ได้เตรียมมาตรการสนับสนุนผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ทั้งในระยะสั้นเพื่อเป็นทุนหมุนเวียน และในระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายพิชัย ยังกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้โอกาสนี้ดำเนินการเชิงรุกร่วมกับภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้า เพื่อปรับตัวเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบาง พร้อมย้ำว่า การใช้สิทธิภาษี 0% สำหรับสินค้าบางรายการยังต้องดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย และอาจมีการจำกัดปริมาณหรือขอเวลาผ่อนปรนเพิ่มเติมในบางกรณี