“พิชัย” หารือคณะ สส.สหรัฐ ชูศักยภาพลงทุนไทย ย้ำระดับหนี้สาธารณะต่ำในอาเซียน

“พิชัย ชุณหวชิร” หารือคณะ สส.สหรัฐอเมริกา ย้ำไทยมีวินัยการคลัง หนี้สาธารณะต่ำในอาเซียน พร้อมเดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงภาษี ลดอุปสรรคการค้า และเร่งขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการลงทุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หารือกับคณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สหรัฐอเมริกา นำโดย Beth Van Duyne หัวหน้าคณะ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่กระทรวงการคลัง เพื่อหารือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยประเด็นในวงสนทนาดังกล่าวว่า เรื่องการลงทุนในประเทศไทย ฝ่ายสหรัฐฯ เห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการลงทุน ขณะเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนความเห็นต่อหนี้สาธารณะของไทย โดยนายพิชัย ชี้แจงว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 64.2% ต่อGDP ในประเทศ ซึ่งโครงสร้างหนี้สาธารณะของไทย ประกอบด้วย หนี้ภายในประเทศ 99.2% และหนี้จากภายนอกประเทศ 0.8% อย่างไรก็ตามหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น

ขณะที่ประเด็นการขาดดุลการค้า (Trade Deficit) และมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ฝ่ายไทยได้แสดงความขอบคุณต่อสหรัฐฯ ที่ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทย เป็น 19% จากเดิม 36% โดยไทยยืนยันเจตนารมณ์ปฏิบัติตามข้อตกลง ได้แก่ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร, สินค้าพลังงาน และสินค้าทางทหารจากสหรัฐฯ การลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers: NTBs) และการกำกับดูแลภาษีการถ่ายโอนสินค้าผ่านประเทศที่ 3 (Transshipment)

นายพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนประเด็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทางสื่อดิจิทัล การฉ้อโกงทางการเงิน (Financial Fraud) และความสำคัญของสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะด้านแรงงานและการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานนั้น ฝ่ายไทย ชี้แจงถึงการดำเนินมาตรการคุ้มครองสิทธิแรงงาน ทั้งไทยและต่างด้าว ตลอดจนปรับปรุงกฎหมาย เพื่อยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองของแรงงานในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยฝ่ายไทยยืนยันเจตนารมณ์ ยึดแนวทางสันติวิธีและการเจรจาอย่างสงบ แก้ไขปัญหาสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และไม่ประสงค์ให้สถานการณ์ดังกล่าวลุกลามหรือก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบ ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

Back to top button