“5 องค์กร” แถลงสรุปคดีหุ้น MORE หลักฐานชัด “ฉ้อโกง-อั้งยี่” เอาผิดกราวรูด 42 ราย

5 หน่วยงานรัฐรวมพลังแถลงความคืบหน้าคดีปั่นหุ้น MORE ชี้เป็นการปล้นทรัพย์ผ่านตลาดทุนอย่างเป็นขบวนการ ยึดทรัพย์แล้วกว่า 4.7 พันล้านบาท พร้อมเดินหน้าฟ้อง 42 ราย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ส.ค.68) นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO), พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.), นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมจัดแถลงข่าว “ความคืบหน้าสำคัญคดีหลักทรัพย์ บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE และการยกระดับการทำงานร่วมกันเพื่อตลาดทุนไทย” ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ด้าน พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษมีบทบาทสำคัญในการดำเนินคดีอาญาในกรณีนี้ โดยรับช่วงต่อจากหน่วยงานที่เริ่มต้นสอบสวนเบื้องต้น เพื่อทำหน้าที่สรุปสำนวน รวบรวมพยานหลักฐาน และจัดทำความเห็นเสนอต่อพนักงานอัยการ สำหรับแนวทางการสืบสวน ได้รับข้อมูลและหลักฐานสำคัญจากกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหา กลุ่มสนทนาใน Line หรือหลักฐานจาก Instagram ที่ใช้ยืนยันการอยู่ในสถานที่เดียวกันระหว่างผู้กระทำผิด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการสมรู้ร่วมคิดในการปั่นราคาหุ้น

ขณะที่กฎหมายที่นำมาใช้ในคดีนี้ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งว่าด้วยการกระทำอันเป็นการทำให้ราคาหลักทรัพย์เบี่ยงเบนไปจากสภาพปกติของตลาด และกฎหมายอาญาในฐานความผิดฉ้อโกง และความผิดฐานอั้งยี่ซ่องโจร โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหามีลักษณะการรวมกลุ่มกันประชุมและดำเนินการอย่างเป็นขบวนการเพื่อหวังผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบหนึ่งที่ใช้ความชำนาญเฉพาะทางในตลาดทุน

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ต้องหาอาศัยช่องว่างในระบบ เช่น การใช้หลักทรัพย์ตัวเดียวกันหมุนเวียนเพื่อขอเพิ่มวงเงินซื้อขาย การอาศัยระบบ T+2 (ซื้อขายก่อน จ่ายเงินจริงภายหลัง 2 วัน) โดยไม่มีเงินจะชำระ หากถึงเวลาชำระแล้วไม่มีเงิน ทางโบรกเกอร์ (บริษัทหลักทรัพย์) ต้องเป็นผู้ชำระแทน ซึ่งหากผู้ขายหุ้นเป็นกลุ่มเดียวกับผู้กระทำผิด ก็เท่ากับว่ามีการสมรู้กันปล้นทรัพย์โดยอาศัยระบบตลาดทุนเป็นเครื่องมือ

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบังคับใช้กฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา โดยเลขาธิการสำนักงาน ปปง. ได้ใช้อำนาจในการระงับการชำระเงินให้กับผู้ขายที่เป็นผู้กระทำผิด ทำให้รัฐไม่ต้องจ่ายเงินในส่วนนี้ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ

โดยคดีนี้แบ่งกลุ่มผู้ต้องหาออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มผู้วางแผน ซึ่งเป็นมันสมองในการรวบรวมและจัดตั้งขบวนการปั่นหุ้น 2) กลุ่มผู้ปฏิบัติการ หรือผู้คีย์คำสั่งซื้อขาย ซึ่งกระทำในสถานที่เดียวกัน และ 3) กลุ่มเจ้าของบัญชีที่อนุญาตให้นำบัญชีไปใช้ ซึ่งบางรายอาจรู้ หรือไม่รู้เจตนา แต่กฎหมายถือว่าผู้ให้บัญชีต้องรับผิดชอบร่วม เนื่องจากควรทราบว่าบัญชีจะถูกนำไปใช้ในทางไม่ชอบ ทั้งนี้ DSI ได้ทำความเห็นและสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด 42 ราย พร้อมขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ปปง. และหน่วยงานกลาง ที่ให้ความร่วมมือในการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นความสำเร็จร่วมกันในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมในคดีสำคัญนี้

ด้าน นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการแถลงข่าวในประเด็นที่สำคัญและมีนัยต่อระบบตลาดทุนไทย ซึ่งแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 2-3 ปี ตั้งแต่ในสมัยของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนก่อน แต่ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมผู้บริหารชุดปัจจุบันของตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ท่านผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด

โดยกรณีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง จึงมีหน้าที่ต้องทบทวนข้อมูลและสนับสนุนกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ทีมงานของตลาดหลักทรัพย์ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการช่วยเหลือ ประสานงาน และผลักดันแนวทางแก้ไขร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ใช่เหตุการณ์ที่น่ายินดีนัก แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนใจและจุดประกายให้สมาคมบริษัทหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น อันนำไปสู่การปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองตลาดทุนและผู้ลงทุนอย่างรัดกุมมากยิ่งขึ้น ในกระบวนการนี้ ยังมีการประสานกับหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง เพื่อยกระดับความเข้มแข็งของระบบการกำกับดูแลและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนของไทย

“บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้นำมาสู่ความร่วมมือในระดับองค์รวม โดยหน่วยงานแต่ละแห่งได้นำองค์ความรู้และบทบาทของตนมาร่วมพัฒนาระบบอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานของรัฐที่ร่วมกันสนับสนุนตลาดทุนไทยด้วยความเสียสละและตั้งใจ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว” นายอัสเดช กล่าว

ด้าน นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยว่า คดีการฉ้อโกงตลาดทุนในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที โดยเฉพาะการร่วมมือระหว่างสำนักงานปปง. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งสามารถระงับความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากลักษณะการกระทำของผู้ต้องหามีเป้าหมายชัดเจนในการปล้นทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ผ่านกลไกตลาดทุน หากไม่มีการเคลื่อนไหวจากตลาดหลักทรัพย์และโบรกเกอร์ในทันที ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้ ปปง. เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ต้นโดยร่วมประสานกับเจ้าหน้าที่สอบสวนและพิจารณากฎหมายในทุกมิติ รวมถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายตามมาตรา 48 ก (2) เพื่อยึดและอายัดทรัพย์ชั่วคราวในกรณีฉุกเฉิน โดยมีคำสั่งยึดอายัดรวม 4 คำสั่งเพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของผู้กระทำผิด และต่อมาได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปสำนวนเพื่อส่งต่อให้พนักงานอัยการดำเนินคดีต่อไป พร้อมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินและคืนผู้เสียหายตามขั้นตอนกฎหมาย

โดยคดีนี้แบ่งเป็น 3 สำนวนหลัก ได้แก่ สำนวนแรกเป็นคดีฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา โดยมีการยึดอายัดทรัพย์สินรวม 4,400 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวคืนแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 10 ราย สำนวนที่สองเกี่ยวกับการฉ้อโกงในลักษณะผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมอีก 129 ล้านบาท เพื่อเฉลี่ยคืนผู้เสียหายรายเดิม และสำนวนที่สามเป็นการกระทำความผิดอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมสอบสวนคดีพิเศษและการดำเนินการตามกระบวนการศาลแพ่งอีกครั้งหนึ่ง โดยมูลค่าทรัพย์สินในสำนวนนี้อยู่ที่ประมาณ 226 ล้านบาท

ทั้งนี้การดำเนินการในคดีนี้สะท้อนให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายต้องมีความชัดเจนในเรื่องความผิดมูลฐาน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น บช.ก., DSI, ปปง., ตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงาน ก.ล.ต. ต่างมีบทบาทในการเสริมสร้างกลไกการกำกับดูแลและป้องกันการนำตลาดทุนไปใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงิน พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักลงทุนว่า ตลาดทุนไทยไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับการกระทำผิดกฎหมาย

นายเทพสุ ได้แสดงความขอบคุณต่อสำนักงานอัยการสูงสุดและศาลยุติธรรมที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินคดีให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยใช้ระยะเวลาเพียงราว 2 เดือนจึงสามารถออกคำสั่งศาลได้ ถือเป็นการบูรณาการที่สำคัญของหน่วยงานรัฐ ที่ไม่ใช่ความสำเร็จของหน่วยใดหน่วยหนึ่ง หากแต่เป็นต้นแบบความร่วมมือที่ต้องเดินหน้าต่อไปในอนาคตเพื่อสกัดกั้นความเสียหายลักษณะเดียวกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกในระบบตลาดทุนไทย

ด้าน พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เปิดเผยว่า หน่วยงานสอบสวนได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งที่ได้รับความเสียหาย โดยกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้เข้าตรวจสอบและเห็นว่าเป็นคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีความสลับซับซ้อน กลุ่มผู้กระทำผิดมีความรู้ความชำนาญในตลาดทุนเป็นอย่างดี และได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในวงกว้าง จึงถือเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด

จากนั้นได้มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจซึ่งประกอบด้วยพนักงานสอบสวนที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพื่อทำงานแข่งกับเวลาและใช้ความตั้งใจอย่างยิ่งในการคลี่คลายคดี โดยช่วงแรกให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เมื่อสามารถควบคุมสถานการณ์ระยะสั้นได้แล้ว จึงเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการสืบสวนสอบสวนอย่างเต็มรูปแบบ ใช้เทคนิคและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนและรัดกุม

พล.ต.ท.จิรภพ ย้ำว่า หากไม่ได้ปฏิบัติงานอย่างละเอียดและรอบคอบในระดับนี้ คดีก็อาจไม่สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ทันการณ์ แต่ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คดีจึงมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 42 ราย และสามารถอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องได้มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท พร้อมทั้งส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ โดยขณะนี้คดีอยู่ในชั้นพิจารณาในศาลอาญา และมีการดำเนินการฟ้องร้องในคดีแพ่งควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางพร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความยุติธรรมและให้ความเป็นธรรมกับประชาชนอย่างเต็มกำลัง

ด้าน นายอัสสเดช กล่าวเพิ่มว่า ทางตลาดหลักทรัพย์ขอสรุปภาพรวมของกรณีหุ้น MORE ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการกำกับดูแล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต การแถลงข่าวร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งในครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือในการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์เองได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว และได้เร่งปรับปรุงระบบการกำกับดูแลและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาระบบ “Auto Pause” ที่สามารถหยุดการซื้อขายชั่วคราว 60 นาที หากพบความผิดปกติของราคา เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนประเมินข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน

นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเข้ามาตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อขาย เพื่อสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงได้ทันท่วงที ก่อนเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะในประเด็นของ NVDR ซึ่งในอดีตออกแบบมาเพื่อรองรับนักลงทุนต่างชาติ แต่กลับถูกใช้ในทางที่ผิดในบางกรณี ทางตลาดฯ จึงปรับกฎให้ผู้ลงทุนที่สามารถซื้อขาย NVDR ได้ ต้องเป็นนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น พร้อมร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ในการติดตั้งระบบเพื่อป้องกันช่องโหว่ดังกล่าว

สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ยังไม่พบหุ้นตัวใดที่มีลักษณะผิดปกติหรือเข้าข่ายเช่นเดียวกับกรณี MORE ซึ่งถือเป็นกรณีฉ้อโกงที่ชัดเจน มีการร่วมมือกันกู้เงินจากหลายโบรกเกอร์และสั่งซื้อขายหุ้นโดยไม่ชำระเงิน เพื่อดึงเงินจากระบบออกไป โดยบริษัทหลักทรัพย์ในฐานะตัวกลางจำเป็นต้องจ่ายเงินให้กับผู้ขายก่อน จึงเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ทางตลาดหลักทรัพย์ได้ยกระดับมาตรการกำกับดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก

ส่วนประเด็นเรื่องความผันผวนของตลาดหุ้นหลังจากมีการประกาศอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ระดับ 19% มองว่าเป็นข่าวดีในแง่ของความชัดเจน เพราะสิ่งที่ตลาดกลัวที่สุดคือความไม่แน่นอน โดยอัตราที่ประกาศออกมาไม่ได้สูงเกินไป และไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งทางการค้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมว่า บริษัทจดทะเบียนรายใดจะได้รับผลกระทบหรือประโยชน์จากมาตรการนี้ในเชิงปฏิบัติจริง

ด้านการเตรียมกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ทางตลาดหลักทรัพย์มีท่าทีสนับสนุน พร้อมระบุว่าการบินไทยในรอบนี้มีการปรับโครงสร้างองค์กรอย่างใหญ่หลวง จนกลายเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีกำไรสูงสุดในโลกจากธุรกิจที่เคยขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเกณฑ์การกลับเข้าเทรดจะพิจารณาความพร้อมในด้านคณะกรรมการ ระบบควบคุมภายใน และการเปิดเผยข้อมูลให้นักลงทุนอย่างครบถ้วน

สำหรับครึ่งปีหลัง ตลาดหลักทรัพย์เชื่อว่าแนวโน้มจะดีขึ้น หากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ มีเสถียรภาพมากขึ้น แม้เศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน แต่ความชัดเจนของปัจจัยภายนอก รวมถึงอัตราภาษีที่ประกาศอย่างเป็นทางการ จะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน ขณะที่การระดมทุนผ่าน IPO ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน ทั้งราคาหุ้น โอกาสในการขยายธุรกิจ และความมั่นใจของผู้ประกอบการ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์พร้อมสนับสนุนให้มีบริษัทใหม่ ๆ เข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้น เพื่อเปิดทางเลือกการลงทุนแก่ประชาชน

ทั้งนี้ กรณีหุ้น MORE ที่มีคำพิพากษาออกมาแล้วนั้น เชื่อว่าจะช่วยฟื้นฟู trust and confidence ของนักลงทุนในตลาดทุนไทยได้ระดับหนึ่ง และเป็นสัญญาณให้ผู้ที่คิดจะกระทำผิดต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์จะเดินหน้าพัฒนาระบบและกฎเกณฑ์ต่อเนื่อง พร้อมร่วมมือกับสำนักงาน ก.ล.ต. และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ เพื่อสังเกต วิเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลความเสี่ยงให้ทันสถานการณ์ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการป้องกันไม่ให้เกิด “เคสใหญ่” ซ้ำขึ้นอีกในตลาดทุนไทย

 

อนึ่งจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมการฉ้อโกงบริษัทหลักทรัพย์ (โกงโบรกเกอร์) วงเงิน 4,500 ล้านบาท และนำไปสู่คดีหุ้น MORE เริ่มขึ้นก่อนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดซื้อขายวันที่ 10 พ.ย. 2565 มีการตั้งคำสั่งซื้อหุ้น MORE ช่วง ATO ที่ราคา 2.90 บาท จำนวน 1,500 ล้านหุ้น ทั้งที่ราคาปิดของวันที่ 9 พ.ย. 2565 อยู่ที่ 2.78 บาท ถือเป็นราคาที่สูงแบบผิดปกติ มีการโยนคำสั่งซื้อขายหุ้น MORE ในลักษณะอำพรางและการพยายามถล่มขายหุ้น ด้วยการใช้บัญชี Credit Balance ของโบรกเกอร์มาซื้อขายหุ้นดังกล่าว

โดยเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ศาลแพ่งถนนรัชดาภิเษก มีคำพิพากษาให้นำเงินที่อายัดไว้คืนกลับโบรกเกอร์ 11 รายที่จ่ายเงินค่าขายให้กับลูกค้าวอลุ่มปริศนา 1,500 ล้านหุ้น ในช่วงเปิดตลาดที่ราคา 2.90 บาท เป็นเงิน 4,300 ล้านบาท และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยังตรวจพบรายการที่น่าสงสัยเพิ่มเติมอีก 200 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท และสั่งยึดหุ้น MORE จำนวน 1,500 ล้านหุ้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน และผู้ต้องสงสัยยังมีสิทธิอุทธรณ์ได้

สำหรับกรณีการยึดหุ้น MORE จำนวน 1,500 ล้านหุ้น จากการสืบสวนพบว่าไม่สามารถแสดงว่าได้หุ้นมาโดยสุจริต และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดจำนวน 32 ราย ร่วมกันสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้น MORE ช่วงระหว่างวันที่ 18 ก.ค.-10 พ.ย. 2565

โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดทรัพย์สินไว้ทั้งหมดรวม 34 รายการ มูลค่า 5,376 ล้านบาท เหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา 9 ผู้ต้องหาหุ้น MORE

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้เอกสารคำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ ยังไม่ได้ปรากฏออกมาต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ และกลุ่มบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ (โบรกเกอร์) ในฐานะผู้เสียหายยังมิได้รับชำระเงินคืนแต่อย่างใด ดังนั้นเชื่อว่าการแถลงข่าวของผู้บริหารระดับสูงวันนี้ (1 ส.ค.) น่าจะได้เห็นความชัดเจนจากเรื่องดังกล่าว

นอกเหนือจากคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว ต้องจับตาถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำความผิดฐานปั่นหุ้นและการฉ้อโกงโบรกเกอร์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้เห็นความคืบหน้าของคดีจากงานแถลงข่าววันนี้ด้วยเช่นกัน

คดีปั่นหุ้น MORE ทำให้เกิดความเสียหายต่อวงการธุรกิจหลักทรัพย์อย่างร้ายแรง จนเป็นเหตุทำให้ตลาดหุ้นไทยขาดความน่าเชื่อถือ ความศรัทธาต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จากกรณีมีการวางแผนให้นายอภิมุข บำรุงวงศ์ (ปิงปอง) ใช้หุ้น MORE ในมือนำไปหมุนเวียนขอเปิดวงเงินสินเชื่อซื้อหุ้น (มาร์จิน) กับโบรกเกอร์หลายแห่ง ทำให้โบรกเกอร์ที่ได้รับความเสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีกับนายอภิมุชและบุคคลที่เกี่ยวข้องกรณีถูกนายอภิมุข หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง หลอกลวงให้หลงเชื่อว่าจะมีการชำระค่าซื้อหุ้น MORE และ MORE-R

ส่วนผู้ที่ถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษคดีปั่นหุ้น MORE ประกอบด้วย นายอภิมุข, นายเอกภัทร พรประภา, นายอธิภัทร พรประภา, นางอรพินธุ์ พรประภา, นายอิทธิวรรธน์ วรรณะเอี่ยมพิกุล, บริษัท ตงฮั้ว แคปปิตอล, บริษัท ตงฮั้ว มีเดีย แล็บ, นายสมนึก กยาวัฒนกิจ, นายวสันต์ จาวลา

ขณะที่ ปปง.อายัดทรัพย์สินมูลค่าราว 5,376 ล้านบาท (เป็นเงินหรือหลักทรัพย์ที่ซื้อต่อเนื่องจากเงินที่ได้จากการขายหุ้น MORE วันที่ 10 พ.ย. 2565 อาทิ นายอภิมุข (บล.ไอร่า 405,644,346 บาท) นายเอกภัทร พรประภา (บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ 1,808,720,107 บาท) นายอธิภัทร พรประภา (บล.บัวหลวง 676,760,540 บาท) นางอรพินธุ์ พรประภา (บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ 122,939,700 บาท) นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา (บล.เอเอสแอล 195 ล้านบาท) นายวสันต์ จาวลา (บล. เอเชีย เวลท์ 55 ล้านบาท) เป็นต้น

Back to top button