
ก.ล.ต.เตือนผถห. INGRS ใช้สิทธิโหวต หลัง IFA ชี้ไม่ควรอนุมัติ ปมปล่อยกู้ ICB กว่า1.5 พันล.
ก.ล.ต. เตือนผู้ถือหุ้น INGRS ใช้สิทธิออกเสียง 14 ส.ค. ปมให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กลุ่ม ICB มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท โดย IFA เห็นว่าไม่ควรอนุมัติ เนื่องจากความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้และเงื่อนไขสัญญาที่ไม่เหมาะสม ขณะนี้ INGRS กำลังปรับปรุงนโยบายภายในให้รัดกุมยิ่งขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่าตามที่ บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ INGRS จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568 เพื่อพิจารณาวาระการให้สัตยาบันรายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กลุ่ม ICB ช่วงระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2567 ถึง 2 พฤษภาคม 2568 ในรูปแบบสัญญากู้ยืมที่กำหนดชำระคืนเมื่อทวงถาม และเงินทดลองจ่ายที่ไม่มีสัญญากู้ยืม ซึ่งมีทั้งกรณีคิดดอกเบี้ยและไม่คิดดอกเบี้ย โดยมูลค่าการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน รวม 197.31 ล้านริงกิต(มาเลเซีย) (ประมาณ 1,505 ล้านบาท) ทั้งนี้ ยอดรวมเงินต้นคงค้างและดอกเบี้ยค้างรับ ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เท่ากับ 95.66 ล้านริงกิตมาเลเซีย (ประมาณ 730 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม IFA เห็นว่า ผู้ถือหุ้นไม่ควรอนุมัติการให้สัตยาบันรายการ เนื่องจากกลุ่ม INGRS อาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของกลุ่ม ICB ด้วยผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของ ICB ที่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ของ ICB รวมทั้งแผนการชำระคืนขาดความชัดเจน และเงื่อนไขสัญญากู้ยืมไม่เหมาะสมและอาจเอื้อประโยชน์ให้กลุ่ม ICB
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบของ INGRS เห็นควรปรับปรุงนโยบายและกระบวนการภายในที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกําหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและ ก.ล.ต. นอกจากนี้ จะปรับปรุงเงื่อนไข
สัญญากู้ยืมระหว่างกันให้ชัดเจนและเหมาะสม
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงขอให้ผู้ถือหุ้นศึกษาข้อมูลโดยละเอียด วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ ความเสี่ยงและผลกระทบ
ที่จะได้รับจากการมีมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมกับสอบถามผู้บริหาร INGRS เพื่อให้ได้รับข้อมูลครบถ้วนในการประกอบการตัดสินใจ
อนึ่ง รายการข้างต้นต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง โดยไม่นับรวมส่วนของผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสีย