CKP รายได้ขายไฟฟ้า-ไอน้ำเพิ่ม ดันกำไร Q2 โตทะลัก 7 เท่าตัว

CKP โชว์กำไรไตรมาส 2/68 แตะ 610.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 725.42% จากช่วงเดียวกันของปี อยู่ที่ 73.92 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่ม พ่วงต้นทุนทางการเงินลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ


บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ 610.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 725.42% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 73.92 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ ในไตรมาสที่ 2/2568 มีจำนวน 2,428.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 2,376.4 ล้านบาท

ขณะที่รายได้ค่าบริหารโครงการไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 97.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 96.10 ล้านบาท จากการปรับเพิ่มอัตราค่าบริหารตามสัญญา นอกจากนี้ต้นทุนทางการเงินไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 284.3 ล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 297.60 ล้านบาท

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ CKP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาสที่ 2/2568 และครึ่งปีแรกของปี 2568 ว่า CKPower มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (Core Net Profit) ในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนปี 2568 จำนวน 353.0 และ 416.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 204.3 และ 509.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 137.4 และ ร้อยละ 548.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ

โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และงวด 6 เดือนปี 2568 คือปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เฉลี่ยมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและต้นทุนทางการเงินของ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ลดลงตามแนวโน้มดอกเบี้ยโลก บริษัทจึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมสูงกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก ขณะที่รายได้จากการขายไฟฟ้าของ บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด (NN2) ลดลงเล็กน้อยในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนปี 2568 แม้ปริมาณการขายไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำช่วงต้นปีและปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำที่มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินบาทส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าของ NN2 ที่บางส่วนเป็นเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐลดลง

นายธนวัฒน์กล่าวว่าในช่วงครึ่งปีแรกมีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำของ NN2 สะสม 1,315 ล้านลูกบาศก์เมตร สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 45.2 ส่งผลให้ NN2 สามารถประกาศความพร้อมจ่ายไฟฟ้าในเดือนมกราคม-สิงหาคมมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 14.7 ขณะเดียวกัน ปริมาณน้ำไหลผ่าน XPCL ก็สูงขึ้นเช่นกัน โดย XPCL ได้เดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งในไตรมาส 3 ปริมาณน้ำไหลเข้าโรงไฟฟ้าพลังน้ำทั้งสองแห่งจะเพิ่มมากขึ้นตามฤดูกาล ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี 2567 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จะช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยและหนุนผลการดำเนินงาน CKPower ในภาพรวมให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หลวงพระบาง (LPCL) มีความคืบหน้าการก่อสร้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 53 ซึ่งเป็นไปตามแผน

ด้านฐานะการเงินของ CKPower ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากสิ้นปี 2567 มีสาเหตุหลักมาจากการทยอยลงทุนเพิ่มเติมใน LPCL ผนวกกับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปี 2568 ของ XPCL และเงินสดรับจากการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมครั้งที่ 1/2568 ของบริษัท มูลค่า 5,000 ล้านบาทในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้ที่แข็งแกร่ง สะท้อนผ่านอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 0.56 เท่า และอัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยที่ 6.11 เท่า บ่งชี้ถึงฐานะการเงินที่มั่นคงและความสามารถในการบริหารสภาพคล่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริษัทจะยังคงติดตามการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยและบริหารจัดการหนี้สินระยะยาวให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา CKPower เผชิญกับความท้าทายหลากหลายปัจจัย ทั้ง ปัจจัยทางธรรมชาติ ความผันผวนของเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและของโลกที่ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยและราคาก๊าซธรรมชาติ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ผนวกกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้และมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ CKPower ปรับตัวได้อย่างยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก้าวต่อจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงาน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า และสร้างความตระหนักรู้ในการอนุรักษ์พลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่ภายในปี 2593“ นายธนวัฒน์ กล่าว

Back to top button