จับตา กนง. พรุ่งนี้! “เอเซีย พลัส” ลุ้นหั่นดอกเบี้ย ดันหุ้นไฟแนนซ์-อสังหา-ส่งออก

บล.เอเซีย พลัส คาด กนง. อาจลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 13 ส.ค. นี้ มีโอกาสสูงถึง 58% หากเกิดขึ้นจริงจะหนุน SET พุ่งแตะ 1,433 จุด แนะจับตาหุ้นเด่นกลุ่มไฟแนนซ์ อสังหาฯ และส่งออกที่ได้ประโยชน์ชัดเจน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีกำหนดประชุมในวันพรุ่งนี้ (13 ส.ค.68) โดยข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า จากมติของนักวิเคราะห์ในตลาด (Consensus) พบว่า มีโอกาสสูงถึง 58% ที่ กนง. จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากระดับปัจจุบันที่ 1.75%

บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า หากมีการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.50% จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยคาดว่าจะช่วยหนุนดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นราว 57 จุด แตะระดับ 1,433 จุด จากแรงซื้อที่กลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มอ่อนไหวต่อดอกเบี้ย เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มบริโภคภายในประเทศ และกลุ่มไฟแนนซ์

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองว่าการประชุม กนง. ครั้งนี้ อาจเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ต่อทิศทางนโยบายการเงิน หลังจากการประชุมครั้งก่อนมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ที่ 6:1 โดยมี 1 เสียงเสนอให้ลดดอกเบี้ย ซึ่งสถิติในอดีตพบว่า เสียงข้างน้อยมักกลายเป็นเสียงข้างมากในการประชุมครั้งถัดไป

ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1.45% ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย สะท้อนโอกาสที่ตลาดคาดการณ์ว่าธปท.จะมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยมากกว่าหนึ่งครั้ง

ส่วนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาวะชะลอตัว โดย กนง. ประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปีนี้ไว้ที่ 1.6% เท่านั้น ซึ่งหากไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลานี้ อาจกระทบความเชื่อมั่นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะในภาวะที่เงินบาทแข็งค่า และการส่งออกได้รับแรงกดดันจากมาตรการทางภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม บล.เอเซีย พลัส ยังคงมุมมองอีกด้านหนึ่งว่า กนง. อาจเลือก “คงดอกเบี้ย” ไว้ที่ 1.75% เพื่อเก็บ “Policy Space” ไว้รองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เศรษฐกิจถดถอยหรือความไม่แน่นอนทางการเงินในอนาคต รวมถึงรอดูความชัดเจนของผลกระทบจาก Tariff ต่อเนื่องก่อนตัดสินใจดำเนินนโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม

ทั้งนี้ หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจริง ฝ่ายวิจัยคาดว่า ระดับ P/E ของตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสขยับขึ้นราว 0.67 เท่า ภายใต้สมมติฐาน MEYG 4.5% และ EPS ปี 2568 ที่ 86 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะหนุนดัชนี SET Index ขยับขึ้นไปแตะเป้าหมายที่ 1,433 จุด

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำหุ้นเด่นที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย

กลุ่มการเงินอย่างไฟแนนซ์ ได้แก่ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI, บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI

กลุ่มส่งออก ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA

Back to top button