
BAM ครึ่งหลังปี 68 โตแกร่ง เร่งระบายทรัพย์-ตั้งเป้าเก็บหนี้ทะลุ 1.78 หมื่นล้าน
BAM โบรกชี้ครึ่งหลังปี 68 เติบโตแกร่ง เร่งระบายทรัพย์-ตั้งเป้าเก็บหนี้ทะลุ 1.78 หมื่นล้าน ขณะที่ กำไรไตรมาส 2/68 แตะ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 184% จากปีก่อน สูงกว่าประมาณการ คงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมเป้าราคา 9.60 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่ากำไรสุทธิของ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 497% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 184% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) สูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์โดยเฉลี่ย (Consensus) ร้อยละ 4 และสูงกว่าประมาณการของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอฯ ร้อยละ 5 โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและเมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงยอดเก็บเงินสดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมียอดเก็บเงินสดก้อนใหญ่จากการขายที่ดินแปลงใหญ่
ทั้งนี้ กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 72) ขณะที่กำไรดังกล่าวดีกว่าประมาณการของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอฯ เล็กน้อย และคิดเป็นร้อยละ 79 ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายนักวิเคราะห์
แม้ว่ากำไรในงวดครึ่งปีหลัง 2568 ของ BAM อาจชะลอตัวลง แต่ประมาณการกำไรยังมีโอกาสปรับเพิ่ม (Upside) ทั้งนี้ เนื่องจากยอดเก็บเงินสดมีความผันผวน จึงยังคงคำแนะนำ “ถือ” โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 9.60 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ผู้บริหารคาดการณ์ว่ายอดเรียกเก็บหนี้ในปี 2568 จะทะลุเป้าหมายที่วางไว้ที่ 1.78 หมื่นล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีแรกสามารถทำผลงานได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังที่แนวโน้มจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจากกลยุทธิ์ใหม่ที่เร่งระบายทรัพย์ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลาย เช่น V Beyond Development
สำหรับทรัพย์ต่ำกว่า 3 ล้านบาท, Siamese Asset (SA) สำหรับทรัพย์ขนาดใหญ่มูลค่าสูง, Bangkok Asset (BKA) สำหรับทรัพย์ราคา 5-10 ล้านบาทขึ้นไป โดย BAM มีบทบาทในการคัดกรองทรัพย์และปรับโครงสร้างหนี้ ส่วน BKA พัฒนาและรีโนเวทบ้านเพื่อขายแบบครบวงจร และ UOB จะสนับสนุนสินเชื่อแบบcase-by-case ด้วยข้อเสนอพิเศษ
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ที่บริหารรวมเป็น 1 ล้านล้านบาท (จากปัจจุบันราว 1.4 แสนล้านบาท ตามมูลค่าทางบัญชี / 5.0 แสนล้านบาตามมูลค่าสิทธิ) ซึ่งเป็น NPA ประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาก และ NPL ประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท โดยวางแผนชื่อหนีเสีย (NPA/NPL) ใหม่ปละ 8,500-11,000 ล้านบาท ด้วย Gearing Ratio 3-4 เท่า คิดเป็นมูลค่าทรัพย์ใหม่ราว 40,000 ล้านบาท/ปี รวมถึงจะใช้กลยุทธ์ “Quick Turn-around” ลดเวลาถือครองทรัพย์ จากเฉลี่ย 7.5-8.2 ปีเหลือ 4-4.5 ปี ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตร คาด ROA จะเพิ่มจากต่ำกว่า 2% เป็น 4.5%
ส่วนในเชิง sentiment รับอานิสงส์บวกจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบียนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 150% ส่วนด้านผลประกอบการ IAA Consensus ประเมินกำไรสุทธิทั้งปีเฉลี่ยที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดหวังโมเมนตัมในไตรมาส 2 จะโดดเด่นและอาจทำนิ้วไฮ ตามผลจัดเก็บเงินสดรวมที่เร่งตัว เนื่องจากมีการปิดดีลรายใหญ่ทั้ง NPL และ NPA รวมถึงรับรู้รายได้จาก AMC JVs ทั้ง ARI AMC และ ARUN AMC โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ให้แนวรับ 8.35 บาท ถึง 8.10-8.00 บาท ส่วนแนวต้าน 8.55 บาท ถึง 9-10 บาท