พาราสาวะถี

ไม่มีปัญหาสำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสองและสาม ของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีการลงมติกันไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา


ไม่มีปัญหาสำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสองและสาม ของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีการลงมติกันไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปรากฎว่า มีมติเห็นชอบ 257 เสียง ไม่เห็นชอบ 230 เสียง ตามคาด สส.พรรคฝ่ายค้านที่ยกมือหนุน ล้วนแต่เป็นคนจากพรรคที่แสดงท่าทีชัดเจนในการสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลมาต่อเนื่อง พรรคประชาชน 1 เสียงคือ กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ ส.ส.ชลบุรี ที่ไปร่วมกิจกรรมการเมืองกับพรรคกล้าธรรมอย่างเปิดเผย

ฟากของภูมิใจไทยมี 1 เสียงที่สวนมติพรรคคือ ประภา เฮงไพบูลย์ สส.กาฬสินธุ์ ขณะที่ทั้งพรรคโหวตไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายงบประมาณ ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะประกาเป็น 1 ใน 3 สส.ที่โหวตสวนมติพรรค และหนุนพรรคเพื่อไทยให้ถอนร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้พรรคสีน้ำเงินต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้พักการทำกิจกรรมกับพรรคไว้ก่อน

ด้านพรรคพลังประชารัฐ มี 3 เสียงที่โหวตหนุนตามรัฐบาลคือ กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ ปริญญา ฤกษ์หร่าย สส.กำแพงเพชร และ อนันต์ ผลอำนวย สส.กำแพงเพชร ซึ่งคงไม่ต้องคาดเดาว่า สส.เหล่านี้การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเปลี่ยนสีเสื้อหรือไม่ และจะไปสังกัดพรรคการเมืองใด ขณะที่พรรคไทยสร้างไทยมี 3 เสียงเช่นกันที่โหวตเห็นด้วย นั่นก็คือ ฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ รำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี และ สุภาพร สลับศรี สส.ยโสธร

หลังจากนี้ร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นของสภาผู้แทนราษฎร ก็จะถูกส่งต่อเพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา ซึ่งได้มีการนัดหมายประชุมกันวันที่ 25-26 สิงหาคมนี้ ท่ามกลางข่าวที่ว่า จะมีการโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ คงเป็นแค่ข่าวปล่อย เพราะ ถ้าทำเช่นนั้นผลเสียจะเกิดกับสว.เอง ในส่วนของร่างกฎหมายหากวุฒิสภาไม่เห็นชอบ ต้องส่งร่างฯ คืนกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎร โดยสภาฯ จะยกร่าง พ.ร.บ.ขึ้นมาพิจารณาใหม่ทันที จากนั้นก็ลงมติยืนยัน หากร่างกฎหมายผ่านการพิจารณาของสภาฯ ด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ให้ถือว่าร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

ตามกระบวนการในชั้นของวุฒิสภาต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณในวาระสองและสามนั้น จะมีอำนาจแค่เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขหรือเพิ่มเติมใดๆ เหมือนการพิจารณากฎหมายทั่วไป คงเป็นไปตามที่สว.ส่วนใหญ่ให้สัมภาษณ์ภายใต้สถานการณ์ของบ้านเมืองที่เห็นกันอยู่ คงไม่มีใครที่จะขัดขวาง ทำให้ร่างกฎหมายงบประมาณมีปัญหา แม้ว่าจะถูกโยงกับปมถูกสอบคดีฮั้วเลือกสว.ก็ตาม นั่น เป็นเรื่องการเมืองที่จะต้องไม่นำมาเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาของบ้านเมือง

ฟากรัฐบาลสัปดาห์นี้คงใจจดจ่อกับความเคลื่อนไหวของ แพทองธาร ชินวัตร กับการพยายามถามว่า นายกรัฐมนตรีหญิงจะไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่ได้นัดไต่สวนพยานวันที่ 21 สิงหาคมนี้ พร้อม ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช.หรือไม่ ยืนยันจาก สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรคจะเดินทางไปศาลด้วยตัวเอง โดยในวันดังกล่าวก็ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของเจ้าตัวพอดี

นอกเหนือจากยืนยันกับลูกพรรคว่าจะเดินทางไปชี้แจงต่อศาลด้วยตัวเองแล้ว แพทองธารยังย้ำถึงความบริสุทธิ์ใจกับสิ่งที่ทำไป ขณะเดียวกันก็ยืนยันกับสมาชิกพรรคแกนนำรัฐบาลด้วยว่า จะไม่มีการลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ตามที่มีกระแสข่าวอย่างแน่นอน หากไม่ใช่เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับลูกพรรค ก็คงจะเป็นไปได้ว่า นายกฯ หญิงได้รับสัญญาณบางอย่างที่เชื่อมั่นว่าจะรอด หากพิจารณาจากสิ่งที่ถูกร้องความจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ภายใต้นิติสงครามอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ส่วนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มาริษ เสงี่ยมพงษ์ นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา 33 ประเทศ 1 องค์กร และ 2 องค์การระหว่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันเสาร์ (16 ส.ค.) ที่ผ่านมา โดยชี้ให้ผู้แทนจากต่างชาติเห็นถึงปัญหาเรื่องของทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือน ได้เกิดเหตุ 5 ครั้ง จนมีทหารไทยสูญเสียขาเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ และผิดหลักการอนุสัญญาออตตาวา

ในการนี้รัฐมนตรีต่างประเทศยังเรียกร้อง หลายประเทศในภาคีที่ให้ความช่วยเหลือบริจาคเงินโครงการดังกล่าวให้แก่ทางกัมพูชา เมื่อพบว่าทุ่นระเบิดมีการฝังใหม่ เป็นการฝังในดินแดนไทย ถือเป็นการละเมิดพื้นที่และกฎหมายสากล จึงต้องทบทวนการให้ความช่วยเหลือกัมพูชา เพราะถือว่าไม่ให้ความร่วมมือในวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นถึง พิรุธของฝ่ายเขมรที่ไม่ยอมรับข้อเสนอของไทยในการประชุม GBC ที่มาเลเซีย ในประเด็นร่วมมือกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดด้วย

ด้าน พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ยืนยันหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาได้ใช้ทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยจริง โดยมีประเด็นสำคัญ 8 ประเด็น ที่น่าสนใจเช่น การสถาปนาความมั่นคงโดยทหารช่างที่ภูมะเขือ พบการซุกซ่อนทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมากในแนวกำลังเดิมของฝ่ายกัมพูชา ขณะที่พบภาพอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาที่ไปถ่ายทำคอนเทนต์บริเวณปราสาทตาควาย มีพวงทุ่นระเบิด PMN-2 ปรากฏอยู่ในภาพ พร้อมย้ำการไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นข้อพิรุธที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสของฝ่ายกัมพูชา

ไม่เพียงเท่านั้น วันที่ 18-20 สิงหาคมนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย จะนำ คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวหรือ IOT จาก 8 ประเทศ คือ บรูไน, มาเลเซีย, ลาว, อินโดนีเซีย, เมียนมา, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และเวียดนาม รวม 14 คน ลงพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน อุบลราชธานี ก่อนเดินทางต่อไปที่ผามออีแดง อำเภอกันทรลักษ์ ศรีสะเกษ ต่อด้วยฐานกฤษณา-ฐานปราบศึก ใกล้ภูมะเขือ ก่อนพาคณะตรวจเยี่ยมเชลยศึก ตามด้วยการไปดูความเสียหายของโรงพยาบาลพนมดงรัก สุรินทร์ ปิดท้ายที่ช่องจุ๊ปตะโมก ตรวจพื้นที่จุดที่กำลังพลร้อย.ทพ.2601 เหยียบกับระเบิด พาไปให้เห็นความชั่วช้าของเขมรด้วยภาพจริงไม่ใช่ข่าวเท็จเหมือนที่อีกฝ่ายทำ

อรชุน

Back to top button