
JMART ปักหมุดครึ่งปีหลัง! เร่งขับเคลื่อน สุกี้ตี๋น้อย–มือถือ–สินเชื่อ หนุนกำไร
กลุ่ม JMART เดินเกมรุกครึ่งหลังปี 68 หนุนธุรกิจมือถือ สินเชื่อ และซื้อหนี้โตต่อเนื่อง ผนึก SINGER–SGC เสริมเครือข่าย ขณะที่สุกี้ตี๋น้อยเป็นอีกแรงขับเคลื่อนกำไร พร้อมเปิดตัวธุรกิจใหม่ เสริมโมเดลการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า กลยุทธ์ครึ่งปีหลังจะต่อยอดจากผลงานครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 7,548 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 251 ล้านบาท โดยมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจ Commerce Tech และ FinTech ภายใต้การสร้างสเกลและการใช้เทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อตอบรับเมกะเทรนด์ของผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันยังเดินหน้าต่อยอดพลัง Synergy Ecosystem ที่เชื่อมโยงทุกธุรกิจในกลุ่มเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังวางรากฐานด้านประสิทธิภาพการแข่งขัน ความคล่องตัวในการปรับตัว และการสร้างโมเดลรายได้ใหม่ ๆ ที่จะผลักดันให้ผลกำไรของกลุ่มเจมาร์ทแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับบริษัทที่เข้าไปลงทุนอย่าง “สุกี้ตี๋น้อย” ซึ่ง JMART ถือหุ้น 30% ยังคงสร้างกระแสเงินสดและกำไรต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 582 ล้านบาท โดย JMART รับรู้ส่วนแบ่งกำไร 169 ล้านบาท (หลังหักการปันส่วนราคาซื้อหรือ Purchase Price Allocation) และ ณ สิ้นกรกฎาคม 67 มี 87 สาขา พร้อมเดินหน้าเปิดสาขาใหม่โดยเฉพาะในจังหวัดศักยภาพสูง เพื่อสเกลธุรกิจ และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการปรับกลยุทธ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทั้งในด้านการเปิดตัวเมนูใหม่ และเตรียมเปิดตัวธุรกิจใหม่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการแข่งขันในอนาคต คาดเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ สนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
ด้าน นายดุสิต สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด หรือ Jaymart Mobile ซึ่งเป็นบริษัทแกน ดำเนินธุรกิจด้านการจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี ครึ่งปีหลังเตรียมรับแรงหนุนจากการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นเรือธง ควบคู่กับการต่อยอดธุรกิจสินเชื่อมือถือ “Lock Phone” โดยร่วมกับพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด หรือ KBJ ภายใต้โครงการ Samsung Finance+ และบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ภายใต้ SG Finance+ ที่ทำผลงานโดดเด่นในไตรมาส 2 และยังมีแผนรุกสินเชื่อ iPhone เพิ่มเติม คาดเห็นความคืบหน้าในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะยกระดับพอร์ตสินเชื่อมือถือให้ขยายตัวจากฐานเดิมที่ Samsung และ China Brand ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกว่า 75%
ทั้งนี้ เจมาร์ท โมบาย ตั้งเป้าครึ่งปีหลังเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เดินหน้ากลยุทธ์ Affordable Campaign ขับเคลื่อนกิจกรรมการตลาดร่วมกับบริษัทในกลุ่ม เช่น การทำ J Point Adoption รวมทั้ง กลยุทธ์ Financial Destination ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อมือถือภายใต้ความเสี่ยงต่ำ
พร้อมทั้งสร้างเครือข่าย Jaymart Network ที่ปัจจุบันมีดีลเลอร์ราว 2,940 ราย ครอบคลุม 74 จังหวัด และขยายเครือข่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพื่อสร้างฐานรายได้ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ การขยายสาขาอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการจับมือห้างค้าปลีกชั้นนำ โดยปัจจุบันมี 274 สาขาทั่วประเทศ เสริมด้วยบริการ Mobile Care Protection ที่ร่วมกับ SGC เพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร
นอกจากนี้ เพื่อตอบรับเมกะเทรนด์ด้านพลังงานสะอาด เจมาร์ท โมบาย ยังจับมือกับ JGS Synergy Power (บริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง, เจมาร์ท และซิงเกอร์ประเทศไทย เพื่อกระจายพอร์ตสินค้า Solar Rooftop ผ่านเครือข่ายร้านเจมาร์ทและตัวแทนขายซิงเกอร์ทั่วประเทศ
นาย สุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ในครึ่งปีหลังวางแผนซื้อหนี้ไม่มีหลักประกันเพิ่มอีก 20,000–25,000 ล้านบาท หลังครึ่งปีแรกปิดดีลซื้อมูลหนี้ก้อนใหญ่เข้ามาแล้ว 20,000 ล้านบาท ดันพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพ ณ สิ้นมิถุนายนทะลุ 568,428 ล้านบาท และมั่นใจการจัดเก็บหนี้และการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี หนุนกำไรครึ่งปีหลังฟื้น หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/2568 พร้อมจ่ายคืนหุ้นกู้ตามนัดในปีนี้ และปีหน้า
อีกทั้ง ในครึ่งปีแรก JMT ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) จำนวน 259 ล้านบาทแบบอนุรักษ์นิยม จากพอร์ตที่จัดเก็บต่ำกว่าประมาณการ โดยคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้กลับเมื่อการจัดเก็บกลับสู่ภาวะปกติ และยังมีเงินในกระบวนการบังคับคดีที่เตรียมทยอยรับรู้กลับมา ทั้งจากบริษัทย่อย JAM และ JK AMC ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องและสนับสนุนผลตอบแทนในอนาคต พร้อมกันนี้ ยังเริ่มทรานส์ฟอร์มด้วยแพลตฟอร์ม Digital AMC นำ AI เข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงาน และเพิ่มศักยภาพทีมงานในการติดต่อกับลูกค้า
อย่างไรก็ดี ภาพรวมธุรกิจซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร JMT ใช้เงินลงทุนตลอดโครงการที่ทำมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณ 38,000 ล้านบาท เก็บเงินได้แล้วประมาณ 98% ของเงินลงทุน สะท้อนธุรกิจที่มีศักยภาพ และนับเป็นการบริหารหนี้ NPL ในระบบ สนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพโครงการศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) ภายใต้แบรนด์ The Jas, JAS Urban และ JAS Green Village รวม 8 สาขา แม้ในปีนี้ไม่มีการเปิดสาขาใหม่ เนื่องจากบริษัทโฟกัสสินทรัพย์ในมือให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น บริษัทฯ มุ่งมั่นยกระดับศูนย์การค้าชุมชนด้วยพาร์ทเนอร์รายใหม่ผู้เช่าหลักแบรนด์ดังเข้ามาสนับสนุน ตั้งเป้า Occupancy rate สิ้นปีเติบโตแตะ 95% และขยายธุรกิจ IT Junction ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ สร้างความแข็งแกร่งรับมือเศรษฐกิจที่ท้าทาย
ด้าน นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ตั้งเป้าครึ่งปีหลัง 2568 รายได้เติบโต 20% จากแรงหนุนพอร์ตสินเชื่อ “Lock Phone” และโอกาสขยายธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริหารกลุ่มสินค้ามือสอง (Inventory) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มูลค่าหลักสำคัญมาจากตู้เติมน้ำมัน ซึ่งบริษัทวางเป้าการขยายจุดตั้งตู้เติมน้ำมันในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ซึ่งสิ้นไตรมาส 2 มีแล้วกว่า 2,000 จุด
นอกจากนี้เดินหน้าเพิ่มช่องทางค้าปลีกผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เสริมเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายมือถืออีก 600 ราย จากปัจจุบัน 600 ราย พร้อมกันนี้จะเปิดใช้งานแพลตฟอร์ม SG Finance+ Online for Tele Sale ในเดือนสิงหาคม เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้รวดเร็วขึ้น ควบคู่กับการตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายบริหารลง 15% เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำกำไร จึงมั่นใจว่าผลงานครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งในไตรมาส 2/2568 มีค่าใช้จ่าย One Time
นายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC บริษัทย่อยของ SINGER โชว์ผลงานไตรมาส 2/2568 แข็งแกร่ง ทำกำไรสุทธิ 104 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังซึ่งเข้าสู่ไฮซีซันของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้สินเชื่อ SG Finance+ ภายใต้โครงการ “Lock Phone” เดินหน้าตามแผนการปล่อยสินเชื่อใหม่ทั้งปี 8,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกปล่อยไปแล้ว 3,728 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าหมาย และมีลูกค้าสะสมกว่า 700,000 สัญญาทั่วประเทศ
SGC เดินหน้าขยายความร่วมมือกับ 6 แบรนด์มือถือชั้นนำ ได้แก่ OPPO, VIVO, HUAWEI, XIAOMI, Realme และ Infinix พร้อมเพิ่มแบรนด์ใหม่อย่าง Nothing Phone เข้ามาเสริมพอร์ต อีกทั้งยังอยู่ระหว่างโครงการ Sandbox สินเชื่อ SG Finance+ สำหรับ iPhone เพื่อเตรียมขยายเชิงพาณิชย์ในลำดับถัดไป บริษัทมั่นใจว่าการผสานพลังระหว่างสินเชื่อ “Lock Phone” การเปิดตัวสินค้าใหม่ การขยายช่องทางขาย และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย
ด้านเครือข่ายการจัดจำหน่าย SGC ตั้งเป้าเพิ่มจาก 6,000 แห่งในปัจจุบัน เป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้ โดยขยายผ่านดีลเลอร์แบรนด์มือถือและเตรียมขยายผ่านสาขาของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ราว 3,000 สาขา พร้อมเสริมบริการ “SG Shield” คุ้มครองหน้าจอแตก เพื่อสร้างรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยและเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรวม 13,836 ล้านบาท โดยสินเชื่อ Lock Phone มีสัดส่วน 33% เพิ่มขึ้นจาก 25% ในไตรมาสแรก และตั้งเป้าแตะ 50% ภายในสิ้นปี ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายพอร์ตสินเชื่อที่มีศักยภาพและความเสี่ยงต่ำ สนับสนุน NPL ลดลงอย่างต่อเนื่องจากการบริหารจัดเก็บที่เข้มข้น และธุรกิจ Lock Phone ซึ่งมีระดับ NPL ต่ำ พร้อมปรับลดสัดส่วนสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) และสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า (HP) ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตอย่างสมดุล
นอกจากนี้ SGC ยังเตรียมออกหุ้นกู้ล็อตใหม่วงเงิน 500–1,000 ล้านบาท ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง