
พาราสาวะถี
ลุ้นกันอยู่ว่าจะเดินทางมาศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ (21 สิงหาคม) หรือไม่ ตามที่มีการนัดไต่สวนพยานบุคคล 2 ปากในคดีคลิปเสียงคุยกับ ฮุน เซน
ลุ้นกันอยู่ว่าจะเดินทางมาศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ (21 สิงหาคม) หรือไม่ ตามที่มีการนัดไต่สวนพยานบุคคล 2 ปากในคดีคลิปเสียงคุยกับ ฮุน เซน หลังจากเดินทางเข้าสภาฯ ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แพทองธาร ชินวัตร ก็เก็บตัวเงียบ มีการลาประชุม ครม. และไม่เดินทางเข้าร่วมประชุมกับ สส.ของพรรคเมื่อวันอังคาร (19 สิงหาคม) ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวว่า เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะเข้าชี้แจงต่อศาลด้วยตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นจริง มีการมองว่าอุ๊งอิ๊งกำลังจะเดินตามรอย ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อกรณีคดีซุกหุ้นเมื่อครั้งขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก
หนนั้นถือเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมือง มีเรื่องราวให้พูดถึงหลายแง่มุม เพราะถือเป็นครั้งแรกที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนผู้นำประเทศ เป็นการรับคำร้องมาจาก ป.ป.ช.ไว้วินิจฉัยชี้ขาด กรณีทักษิณจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ โดยซุกหุ้นไว้กับคนรับใช้และคนขับรถกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ก่อนที่ศาลจะมีมติเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2544 ด้วยเสียงข้างมาก 8 ต่อ 7 ให้ทักษิณพ้นผิด
เป็นการติดปีกให้รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทย ได้กอบโกยคะแนนนิยมจนสามารถชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย กระทั่งตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ก่อนที่จะมาถูกยึดอำนาจโดย คมช. เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 บทสรุปของคดีแพทองธารไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย แต่การที่นายกฯ หญิงเดินทางมาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง จะถูกบันทึกว่า เป็นผู้นำประเทศในรอบ 24 ปีต่อจากผู้เป็นพ่อที่เข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองในฐานะผู้ถูกร้อง
ที่ผ่านมาจะพบว่านายกฯ ที่ตกเป็นผู้ถูกร้องในศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะจากปมขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้าม และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่มีใครที่ศาลเรียกมาไต่สวนในฐานะพยานบุคคล ขณะเดียวกันการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและคำแถลงปิดคดี จะส่งให้ศาลพิจาณณาเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น อีกประการที่น่าสนใจคือ นับตั้งแต่ทักษิณที่รอดในคดีซุกหุ้น มีเพียง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้นที่ หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาที่ถูกยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ไม่ว่าจะเป็นสองคดีที่ถูกร้องเมื่อปี 2562 คือ คดีถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่งไม่ครบ ศาลมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง คดีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ มีมติเอกฉันท์เช่นกันว่า ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อกล่าวหา ก่อนที่ในปี 2563 จะมีการร้องเรื่อง พักบ้านพักหลวง โดยไม่มีคุณสมบัติตามระเบียบทางราชการ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติเอกฉันท์ว่าไม่ขาดคุณสมบัติ สุดท้ายคือ คดีความเป็นนายกฯ เกิน 8 ปี ที่ศาลวินิจฉัยเมื่อปี 2565 ด้วยมติ 6 ต่อ 3 ไม่พ้นจากตำแหน่ง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หลากหลาย และข้อกังขาเกี่ยวกับนิติสงคราม
ขณะที่อดีตนายกฯ อีก 3 คนที่ถูกร้อง ซึ่งล้วนแต่เป็นคนของพรรคพลังประชาชนและเพื่อไทยทั้งสิ้น มีอันเป็นไปทุกราย ไล่เรียงตั้งแต่ สมัคร สุนทรเวช ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เปิดพจนานุกรมตัดสิน ด้วยมติ 5 ต่อ 4 เมื่อปี 2551 ให้พ้นจากตำแหน่งว่าด้วยความเป็นลูกจ้างจากการทำกับข้าวออกทีวี ตามมาด้วย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ศาลตัดสินในช่วงม็อบนกหวีดยึดเมือง ด้วยมติเอกฉันท์ จากข้อกล่าวหาก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.โดยมิชอบ
รายล่าสุดคือ เศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อ 14 สิงหาคม 2567 โดยมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 5 ต่อ 4 จากกรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง ดังนั้น จึงต้องลุ้นกันว่าแพทองธารจะรอดหรือร่วง หากเดินตามรอยผู้เป็นพ่อทุกย่างก้าว ก็จะเป็นโอกาสในการนำพาเพื่อไทยกลับมาสร้างผลงาน หวังเรียกความนิยมกลับมาได้ ถ้าไม่รอดก็ต้องรอดูว่าพรรคแกนนำรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร
ถ้าย้อนกลับไปฟังบทสัมภาษณ์ของทักษิณ อาจจะด้วยความเป็นพ่อลูกจึงมีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ต่อบทสนทนาของลูกสาวกับอดีตเพื่อนที่เคยรักกันมาก่อนว่า มากไปด้วยความหวังดีต่อบ้านเมือง แต่แนวทางที่ออกมา นายใหญ่ก็ชี้ว่าเป็นไปได้อย่างน้อยก็ 3 ช่องทางคือ รอดอุ๊งอิ๊งก็กลับไปทำงานยาว ถ้าถูกสอยพรรครัฐบาลปัจจุบันก็จับมือกันเดินหน้าต่อโดยเสนอชื่อ ชัยเกษม นิติศิริ แคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทยเป็นผู้นำประเทศคนต่อไป หรือสุดท้ายคือ ยุบสภา หากมองจากการเกิดรัฐบาลพลิกขั้ว ยังไงก็คงจะลุยกันต่อไป อีกด้าน ผู้เป็นพ่อก็ยังมีคดีให้ต้องลุ้นเหมือนกันทั้ง ม.112 และชั้น 14
อย่างไรก็ตาม กระแสความสนใจของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการเมืองนั้น ต้องยอมรับว่าหดหายไปทันทีหลังเกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา แม้จะมีความพยายามของพวกขาประจำทำให้สองเรื่องนี้เกี่ยวพันกันเพื่อหวังผลในการล้มรัฐบาล แต่ประชาชนไม่ได้ให้น้ำหนักไปทางนั้น ส่วนมากจะเน้นไปที่การให้กำลังใจกองทัพ ทหารแนวหน้า และที่เห็นร่วมแรงร่วมใจกันนอกเหนือจากระดมการสนับสนุนต่าง ๆ ไปให้กับรั้วของชาติแล้ว คือการปั่นข้อมูลทางโซเซียลเพื่อตอบโต้ข่าวเท็จของฝ่ายเขมร
มาถึงตรงนี้ นอกเหนือจากการถูกปั่น และโต้ตอบด้วยข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงแล้ว การได้รับรู้ความจริงจากฝ่ายไทยของบรรดาตัวแทนนานาชาติผ่านกระบวนการทางการทูตระหว่างประเทศ ทำให้ทางเขมรต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะบิดเบือน สร้างภาพให้เห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก แม้กระทั่งการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ช่องอานม้า อุบลราชธานี ทหารเขมรก็แสดงความไร้มารยาท ยั่วยุและกร่างกับทหารไทยและ IOT พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึง อาการกลัวความจริงถูกเปิดเผย
แต่ทั้งหมดเป็นอย่างที่ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าไว้ และเคยเตือน ภูมิธรรม เวชยชัย มาโดยตลอดคือ เขมรไว้ใจไม่ได้ กับกรณีล่าสุด ที่หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกองทัพเรือ ซึ่งขึ้นไปปฏิบัติงานการเก็บกู้ และกวาดล้างทุ่นระเบิดที่ภูมะเขือ แล้วพบโทรศัพท์ของทหารกัมพูชาทิ้งใว้ในพื้นที่ เมื่อตรวจสอบข้อมูลก็ได้หลักฐานเด็ด มีทั้งคลิปและภาพถ่ายทหารเขมรถือทุ่นระเบิด PMN-2 และการวางทุ่นระเบิด รอดูกันว่าพวกหน้าทนจะแถไปทางไหน แต่พวกทำชั่วทำเลวยังไงก็หนีความจริงไม่พ้น
อรชุน