พาราสาวะถี

เสร็จสิ้นกระบวนการไต่สวนพยานบุคคล 2 ปากคดีคลิปเสียงฮุน เซน ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ แพทองธาร ผู้ถูกร้อง และ ฉัตรชัย เข้าชี้แจงเมื่อวานนี้


เสร็จสิ้นกระบวนการไต่สวนพยานบุคคล 2 ปากคดีคลิปเสียงฮุน เซน ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ แพทองธาร ชินวัตร ผู้ถูกร้อง และ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช. เข้าชี้แจงเมื่อวานนี้ (21สิงหาคม) โดยนายกรัฐมนตรีหญิงไปศาลด้วยตัวเอง ศาลไต่สวนเลขาฯ สมช.ปากแรกใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง ตามด้วยอุ๊งอิ๊งที่ใช้เวลาไต่สวนเกือบ 1 ชั่วโมง จากนั้นคณะตุลาการได้อ่านปิดการไต่สวนวันนี้ โดยสั่ง ห้ามนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามบิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน

ทั้งนี้ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนและผู้เข้าฟังการไต่สวนก่อนเริ่มกระบวนการแล้วว่า ศาลไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในการไต่สวน เนื่องจากพยานบุคคลที่มาให้ถ้อยคำเป็นพยานคู่ และ เป็นคดีที่เป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ห้ามไม่ให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ นำข้อความการไต่สวนออกไปเผยแพร่และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายในลักษณะการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน

คงไม่สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีนี้ได้ เมื่อทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน ตัดสินชี้ขาดมาอย่างไรก็ต้องยอมรับกันตามนั้น ขณะที่แพทองธารหลังเสร็จสิ้นการไต่สวน ได้เดินทางลงมาจากห้องพิจารณาคดี พร้อม ปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี และ พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว และคณะผู้ติดตาม โดยเจ้าตัวมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือทักทายสื่อมวลชนที่ไปรอทำข่าว รวมถึงแฟนคลับที่มาให้กำลังใจ แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ ก่อนที่จะเดินทางกลับทันที

ด้านหนึ่งเป็นเพราะศาลไม่ให้เปิดเผยรายละเอียดของสิ่งที่ไปชี้แจง ความจริงก็ คงไม่มีใครอยากจะพูดเรื่องนี้อยู่แล้ว รออีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะรู้ผลกันแล้วว่า รอดหรือร่วง ไปต่อหรือพอแค่นี้ มีการประเมินกันเป็นการภายในของพรรคแกนนำรัฐบาลเอง เชื่อว่าแนวโน้มจะเป็นไปในเชิงบวก แต่อาการของบรรดาแกนนำหลายคนโดยเฉพาะที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลไม่สู้ดีนัก ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ มีปัญหาเรื่องงานที่จะสะดุดหลายเรื่อง หรือได้รับสัญญาณอีกมุมมาจากผู้มีอำนาจที่แท้จริงเกี่ยวกับคดีนี้ หรือไม่

ย้ำมาตลอด เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้กับขบวนการนิติสงคราม หากยังเป็นไปตามรูปรอยนับตั้งแต่เผด็จการ     คสช. ครองเมือง ก็พอจะมองกันได้ว่าผลของแต่ละเรื่องที่เกี่ยวพันทางการเมืองบทสรุปจะออกมายังไง มีเพียงเรื่องเดียวที่อาจปลอบประโลมเหล่านักเลือกตั้งที่อยู่ในอำนาจบริหารประเทศเวลานี้ ให้พอมีความหวังว่าจะได้ทำงานกันต่อ คงเป็นปมความผิดพลาดจากการสร้างกลไกของเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ไปเอื้อให้พรรคการเมืองประเภทสุดโต่งได้รับคะแนนนิยมถล่มทลายจากประชาชน

นั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ไม่ว่าจะอย่างไร จำเป็นต้องใช้บริการรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำต่อไป ไม่ว่าแพทองธารจะเผชิญชะตากรรมอย่างไร โจทย์ใหญ่ก็คือฝ่ายกุมอำนาจต้องเป็นกลุ่มเดิม เป็นภาคบังคับ จะสลับหัวสลับหางยังไงก็แล้วแต่ ขอแค่ให้ได้เดินไปต่อ อย่างอื่นค่อยว่ากัน ด้วยรูปแบบที่จะต้องไปกันแบบนี้ มีเงื่อนไขที่น่าสนใจด้วยว่า สิ่งที่ ทักษิณ-แพทองธาร สองพ่อลูกตระกูลชินวัตรกำลังเผชิญในแง่คดีความ จะต้องไม่บอบช้ำจนยากที่จะกลับมายืนอยู่ในจุดที่เป็นผู้นำทางได้

เพราะเมื่อหันไปมองบรรดาแกนนำของพรรคที่จะไปต่อกรกับฝ่ายสุดโต่ง หาคนที่จะวางแผน คุมเกม สร้างความได้เปรียบยาก ส่วนใหญ่หรือแทบจะทุกพรรคถนัดแต่การต่อรองผลประโยชน์เป็นหลัก และมักจะแสดงอาการข่มอีกฝ่ายที่ถือว่าอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เข้าข่ายต้องการกินรวบมากกว่ากินแบ่ง ขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบันแม้จะดูว่าเริ่มเบ่งกล้ามโชว์ แต่ยินดีที่จะจัดสรรปันส่วนในระดับที่สมน้ำสมเนื้อ เนื่องจาก เข้าใจข้อจำกัดทางการเมืองภายใต้ร่มเงาอนุรักษ์นิยมที่ยังมีฤทธิ์เดชหลงเหลืออยู่

เห็นได้จากการจัดทัพ ครม.ล่าสุด นายใหญ่ไม่ได้ใช้วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่าเหมือนในอดีต มีการยอมหยวนยืดหยุ่นเพื่อให้ก้าวไปพร้อมกันได้ ส่วนที่เหลือสำหรับฝ่ายที่สร้างปัญหาก็ใช้วิธีการจัดระเบียบ เดินตามช่องทางที่ยึดโยงกับกระบวนการทางกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ รักษาสมดุลทั้งกับฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ การทำเช่นนี้มันหมายถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการเลือกตั้งที่จะมาถึง อาจถูกมองว่าสร้างศัตรูแต่คนเหล่านั้นไร้อำนาจ ขณะที่มิตรใหม่ที่สร้างขึ้น ล้วนยินดีที่จะใช้อำนาจที่ได้รับเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ

การเมืองของนักเลือกตั้งอาชีพก็เป็นแบบนี้ กติกาหรือกลไกของอำนาจเผด็จการที่วางไว้เป็นตัวสร้างปัญหา ทำให้ธรรมชาติที่ควรจะเป็นไปผิดเพี้ยน แต่คนเหล่านั้นก็สามารถปรับตัวเข้าได้ เมื่อคุ้นชินกับวิธีการใช้แล้วจึงมองไม่เป็นปัญหา แต่กลับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนที่ผลสำรวจของสำนักโพลชี้ว่าคน เบื่อนักการเมืองไม่ว่าจะรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน มันขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะและสถานการณ์มากกว่า ช่วงนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กำลังระอุ อารมณ์ของประชาชนย่อมผูกไปกับเรื่องความมั่นคงของบ้านเมืองเป็นหลัก

ถ้าถามว่าหากเป็นเช่นนั้น ยินดีที่จะให้เกิดการรัฐประหารหรือไม่ คนส่วนใหญ่ย่อมพากันส่ายหน้า จะมีเพียงแต่พวกขาประจำเท่านั้น ความจริงแทนที่จะแสดงการรังเกียจ เบื่อหน่ายกับนักเลือกตั้ง และพรรคการเมือง กลุ่มเป้าหมายของสำนักโพลทั้งหลาย น่าจะพากันส่ายหน้ากับการทำงานของบรรดาองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทั้งหลายมากกว่า ยิ่งเห็นผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานที่จัดทำโดย ป.ป.ช. ต้องบอกว่า จากที่ศรัทธาเสื่อม ความน่าเชื่อถือทรุดยิ่งหนักเข้าไปอีก

ล่าสุด ทาง ป.ป.ช.ได้มีการชี้แจงถึงผลดังกล่าวในส่วนองค์กรอิสระที่ สตง. ได้รับคะแนนมาอันดับ 1 ว่า เป็นเพียงคะแนนภาพรวมเท่านั้น แต่ ผลการประเมินในเชิงคุณภาพถูกปรับลดลง 1 ระดับจากระดับผ่านดี เหลือระดับผ่าน ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ ป.ป.ช.กำหนด เนื่องจากมีระดับผลการประเมินในส่วนของประชาชนและผู้ที่มาติดต่อหรือรับบริการ คำถามก็คือแล้วไง เสียงสะท้อนของประชาชนมีความหมายหรือไม่ สามารถช่วยพิสูจน์ความโปร่งใสขององค์กรดังได้หรือเปล่า เอาแค่เรื่องตึกถล่มดูว่า ป.ป.ช.จะทำได้เร็วแล้วชี้ขาดว่ายังไง

อรชุน

Back to top button