“สภาพัฒน์” เผยไตรมาส 2/68 ว่างงานพุ่ง 14.8% หลังจ้างงานโตเพียง 0.02% หันใช้พาร์ทไทม์แทน

สภาพัฒน์ชี้แรงงานไตรมาส 2 ปี 2568 โตเพียง 0.02% ว่างงานพุ่ง 14.8% จับตาสถานประกอบการปรับโครงสร้างองค์กร จ้างพาร์ทไทม์แทนพนักงานประจำ ขณะหนี้ครัวเรือนหดตัวครั้งแรกในรอบหลายปี แต่คุณภาพสินเชื่อยังน่าห่วง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (25 ส.ค.68) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 2/2568 ว่า ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นเพียง 0.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นแรงงานภาคเกษตรกรรมมีจำนวน 10.9 ล้านคน ลดลง 0.9% ขณะที่แรงงานนอกภาคเกษตรกรรมอยู่ที่ 28.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.4% โดยสาขาที่มีการจ้างงานขยายตัวสูงสุด ได้แก่ การขนส่ง/เก็บสินค้า และโรงแรม/ภัตตาคาร

จำนวนผู้ว่างงานไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 3.7 แสนคน เพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มที่มีอัตราว่างงานสูงที่สุดคือผู้จบอุดมศึกษา 1.99% รองลงมาคือวิชาชีพขั้นสูง 1.76% และอาชีวศึกษา 1.12% ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ภาคเอกชนสูงกว่าเฉลี่ยที่ 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

นายดนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยแรงงานที่ต้องเฝ้าระวังต่อจากนี้ ได้แก่ ผลกระทบจากการปรับอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริก ต่อการจ้างงานในประเทศไทย การปรับโครงสร้างองค์กรของสถานประกอบการภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยมีแนวโน้มลดการจ้างงานประจำ (Full-time) และหันไปใช้แรงงานในรูปแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ทั้งแบบถาวร (Permanent part-time) และแบบชั่วคราว (Contractual/Temporary part-time) ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพรายได้ของแรงงาน นอกจากนี้ยังต้องจับตาปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชาที่ได้รับผลจากมาตรการเชิงบังคับให้กลับประเทศ และความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เนื่องจากอันตรายจากการทำงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของบริษัทเอกชน พบว่า 25% ขององค์กรไทยมีแนวโน้มลดจำนวนพนักงานลง ขณะเดียวกันรูปแบบการจ้างงานกำลังเปลี่ยนจากฟูลไทม์ไปสู่สัญญาจ้างและงานไม่เต็มเวลามากขึ้น โดยสัดส่วนพนักงานประจำไม่เต็มเวลาปรับขึ้นจาก 6% ในปี 2565 เป็น 42% ในปี 2567 ส่วนพนักงานสัญญาจ้าง/ชั่วคราวไม่เต็มเวลาเพิ่มจาก 4% เป็น 28% ในช่วงเดียวกัน แนวโน้มดังกล่าวอาจส่งผลต่อความมั่นคงของแรงงาน และเป็นประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด

พร้อมกันนี้ สภาพัฒน์ เปิดเผยตัวเลขหนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 16.35 ล้านล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.1% จากปีก่อนหน้า นับเป็นการหดตัวครั้งแรก หลังจากขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 87.4% จากระดับ 88.4% ในไตรมาสก่อน

แม้หนี้รวมจะหดตัว แต่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) กลับขยายตัวแรง 8.7% แตะกว่า 1.19 ล้านล้านบาท ครอบคลุมสินเชื่อเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และบัตรเครดิตที่ยังน่าจับตา ขณะที่สินเชื่อยานยนต์ บัตรเครดิต และธุรกิจรายย่อยต่างทยอยหดตัวต่อเนื่อง

สภาพัฒน์เตือนว่า แนวโน้มการกู้เงินนอกระบบผ่านแอปพลิเคชันและโซเชียล รวมถึงการใช้บริการ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” (BNPL) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสี่ยงทำให้ประชาชนบางส่วนก่อหนี้เกินตัว พร้อมย้ำว่าภาครัฐและสถาบันการเงินต้องเร่งหามาตรการรองรับ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาหนี้บานปลายและกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อถูกถามถึงประเด็น “สมัครใจออก” นายดนุชา กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอายุที่เปิดให้สมัคร หากเป็นการเปิดให้ออกจากงานเมื่ออายุ 45 ปี ต้องพิจารณาว่าแรงงานที่ออกไปจะสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้หรือไม่ เพราะเงินก้อนที่ได้รับไม่น่าจะเพียงพอให้ใช้ชีวิตไปจนถึงอายุเฉลี่ย 70–80 ปี อีกทั้งในภาพรวมยังสะท้อนถึงการปรับโครงสร้างองค์กรที่ต้องการแรงงานใหม่เข้ามาแทนที่ ใช้ค่าจ้างต่ำกว่า หากแรงงานที่ออกไปไม่ได้เตรียมความพร้อมล่วงหน้า อาจมีปัญหาต่อสังคมในระยะถัดไป

Back to top button